Google Vault คืออะไร Google Vault คือ ห้องนิรภัย ซึ่งเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ของ Google Workspace ทำหน้าที่เก็บรักษาข้อมูลของผู้ใช้งานบริการต่างๆ Google Workspace สำหรับองค์กรแล้ว Google vault มีประโยชน์ในการช่วยเก็บรักษา ค้นหา ส่งออก ข้อมูลของผู้ใช้งานแต่ละบัญชีในองค์กร เพื่อใช้ในการสำรองข้อมูลในกรณีที่ผู้ใช้งานมีการลบข้อมูลหรือมีการลาออกของพนักงาน เป็นต้น วิธีลงชื่อเข้าใช้งาน Google Vault วิธีที่ 1: เข้าผ่าน URL พิมพ์ URL : vault.google.com ป้อนชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน กดถัดไปเพื่อลงชื่อเข้าใช้งาน วิธีที่ 2: เข้าผ่าน Gmail ลงชื่อเข้าใช้งาน Gmail คลิกที่ 9 จุด (Google apps) เลือก Google Vault กฎการเก็บรักษาข้อมูล Google Vault จะเริ่มทำการเก็บข้อมูลได้ก็ต่อเมื่อมีการตั้งกฎการเก็บรักษาข้อมูลแล้วเท่านั้น ซึ่งสามารถกำหนดค่าได้โดยผู้ดูเเลระบบขั้นสูง (Super administrator) มิเช่นนั้น Google จะทำการลบทิ้งข้อมูลแบบถาวร ซึ่งกฎการเก็บรักษาข้อมูลของ Google Vault มี 2 ประเภท คือ 1. กฎการเก็บรักษาเริ่มต้น (Default Rules) เป็นการเก็บข้อมูลทั้งหมดของบริการไว้สำหรับทุกบัญชีในองค์กรที่ได้รับอนุญาตในระยะเวลาที่กำหนด โดยสามารถเลือกระยะเวลาจัดเก็บได้ว่าต้องการเก็บรักษาแบบถาวร (Idefinitely) หรือเก็บรักษาแบบกำหนดระยะเวลา (Retention Period) 2. กฎการเก็บรักษาที่กำหนดเอง (Custom Rules) การเก็บข้อมูลที่ตรงกับเงื่อนไขที่ต้องการในระยะเวลาที่กำหนด ต่อไปนี้จะเป็นการอธิบายขั้นตอนการตั้งกฎการเก็บรักษาเริ่มต้น (Default Rules) วิธีตั้งค่าการเก็บรักษาแบบถาวร (Indefinitely) ล็อคอินเข้าใช้ Google Vault เลือก Retention เลือกแถบ Default Rules คลิกที่สเตตัส Off...
Continue readingรู้หรือไม่? Zendesk สามารถเชื่อมต่อ Facebook ได้ถึง 15 เพจ!
ใช่แล้ว! คุณอ่านไม่ผิด Zendesk สามารถเชื่อมต่อ Facebook ได้ถึง 15 เพจจริง ๆ Zendesk คืออะไร? Zendesk คือ Customer Service & Support Software หรือ Help Desk ชื่อดังจากประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มุ่งเน้นในเรื่องของการบริการและซัพพอร์ต เพื่อสร้าง CX หรือประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า พร้อมเป็นกระบวนการทำงานในรูปแบบของ Cloud System ทั้งหมด ทั้งนี้ Zendesk ยังได้รับรางวัล Digital Customer Service Software อันดับ 1 จาก Gartner อีกด้วย ซึ่งจุดเด่นของซอฟต์แวร์ตัวนี้ก็คือการทำกลยุทธ์แบบ Omnichannel ที่จะช่วยรวบรวมช่องทางการติดต่อสื่อสารกับลูกค้าทุกช่องทางไว้ในที่เดียวไม่ว่าจะ Facebook, Line, Twitter, Instagram, Whatsapp, WeChat และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งแค่ในส่วนของ Facebook เองก็สามารถเชื่อมต่อได้ถึง 15 เพจแล้ว ดูรายละเอียดเกี่ยวกับ Zendesk เพิ่มเติม >> https://bit.ly/2QY2cwD เนื่องจากการทำธุรกิจในปัจจุบันตัวสินค้าและการบริการลูกค้าที่ดีมันต้องไปควบคู่กัน ถ้าคุณภาพสินค้าดีแต่การบริการลูกค้าไม่ดี ลูกค้าก็พร้อมที่จะย้ายไปหาคู่แข่งหรือมองหาสินค้าทดแทนที่ได้รับการบริการที่ดีกว่า ดังนั้นการบริการและซัพพอร์ตที่ดีก็เป็นสิ่งที่ธุรกิจไม่ควรมองข้ามเช่นกัน ซึ่งการเชื่อมต่อช่องทางการสื่อสารของลูกค้าที่มาจากหลากหลายช่องทาง หรือ Omnichannel ก็เป็นการที่ช่วยให้ทีมบริการและซัพพอร์ตลูกค้าทำงานง่ายขึ้นเช่นกัน เพราะจะได้ไม่ต้องย้ายแพลตฟอร์มหรือหน้าจอในการตอบลูกค้าไปมา ที่ก่อให้เกิดความผิดพลาดได้ พร้อมกับการเก็บข้อมูลของลูกค้าคนนั้น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ต้องให้ลูกค้าต้องเล่าปัญหาซ้ำ ๆ ให้วุ่นวาย เรียกได้ว่าสร้างประสบการณ์ที่ดีทั้งลูกค้าและในส่วนของทีมงานเองในเวลาเดียวกัน นี่เป็นเพียงเศษเสี้ยวของซอฟต์แวร์ Zendesk เท่านั้น Zendesk ยังมีฟีเจอร์อีกมากมายไปดูกัน >> https://bit.ly/3ddhBRu ถ้าหากใครสนใจหรืออยากลองนำ Zendesk ไปเชื่อมต่อกับช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ ของลูกค้า เพื่อสร้าง CX ที่ไม่เหมือนใคร ก็สามารถติดต่อ Demeter ICT...
Continue readingหาไฟล์ใน Google Drive ไม่เจอ ลองใช้ Advanced Search
Google Drive เป็นพื้นที่บน Cloud ที่เราเก็บข้อมูลไว้อย่างหลากหลายไม่ว่าจะเป็นไฟล์เอกสาร ไฟล์รูป ไฟล์วิดีโอ ซึ่งเมื่อเราเก็บในปริมาณที่มากขึ้น การหาไฟล์ก็อาจจะเป็นเรื่องยากที่ตามมา วันนี้เรามีวิธีที่จะทำให้การหาไฟล์เป็นเรื่องง่ายและรวดเร็วขึ้นด้วย Advanced Search นั่นเอง วิธีค้นหาไฟล์ใน Google Drive ด้วย Advanced Search เปิด Google Drive ในช่อง Search คลิกไอคอนที่อยู่ทางด้านขวา (Search Option) 3. เมื่อคลิกเข้ามา จะพบกับหน้าต่าง Advanced Search โดยข้างในจะประกอบไปด้วย Type : ประเภทไฟล์เอกสารที่ต้องการจะค้นหา เช่น ไฟล์เอกสาร ไฟล์รูป Owner : ค้นหาตามเจ้าของไฟล์ Anyone : จากทุกคน Owned by me : เจ้าของคือฉัน Not owned by me : ไฟล์ที่ฉันไม่ได้เป็นเจ้าของ Specific person : ระบุเจาะจง Location : ตำแหน่งของไฟล์ Date modified : ค้นหารายการที่ได้รับการแก้ไขก่อนหรือหลังวันที่ที่ระบุ โดยโหมด Custom สามารถระบุช่วงวันได้ชัดเจนยิ่งขึ้น Item Name: ค้นหาจากชื่อไฟล์ ตัวอย่าง: title:Conference 2014 Has the words : ค้นหาเอกสารที่มีคําหรือวลีที่ตรงกัน Shared with: ค้นหาเอกสารซึ่งบัญชีที่ระบุมีสิทธิ์เข้าถึง รวมถึงไฟล์ที่บัญชีดังกล่าวเป็นเจ้าของ ตัวอย่าง: shared with : bob@gmail.com Followup : ค้นหาไฟล์ที่มีรายการการทํางานหรือคําแนะนําที่มอบหมายให้คุณ ตัวอย่าง: Followup :any มีการมอบหมายหรือแนะนำใด ๆ ก็ตามในเอกสาร...
Continue readingลงทะเบียนทดลองใช้ Zendesk ฟรี ทำอย่างไร?
‘Zendesk’ Customer Service Software การันตีความน่าเชื่อถือจากลูกค้ากว่า 170,000 รายในหลายอุตสาหกรรมทั่วโลกไม่ว่าจะเป็น Netflix, Bitkub, UNIQLO, Mailchimp หรือแม้แต่หน่วยงานรัฐในบางประเทศต่างก็ใช้ Zendesk ทว่าแท้จริงแล้ว Zendesk มีหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่ ยังคงเป็นคำถามที่ใครหลายคนอาจยังไม่เห็นภาพชัดเจนนัก ดังนั้นในบทความนี้ เราจะมาแนะนำวิธีการลงทะเบียนขอทดลองใช้ Zendesk Trial ง่าย ๆ เพียงไม่กี่ขั้นตอน รับรองได้ว่าไม่เกิน 10 นาที คุณก็จะได้รับ Zendesk ไปทดลองใช้ได้ฟรีเลยถึง 14 วัน ขั้นตอนการลงทะเบียนทดลองใช้ Zendesk เข้าไปที่หน้าเว็บไซต์ https://www.dmit.co.th/th/our-services-th/zendesk-th/ จากนั้นคลิก ‘ทดลองใช้ Trial ฟรี’ 2. เข้าสู่ขั้นตอนการลงทะเบียน กรอก Email ของคุณและกดปุ่ม ‘Next’ 3. กรอกชื่อของคุณในช่อง ‘First Name’ และกรอกนามสกุลในช่อง ‘Last Name’ จากนั้นกรอกเบอร์โทรศัพท์ที่ช่อง ‘Phone Number’ แล้วกดปุ่ม ‘Next’ 4. กรอกชื่อองค์กรของคุณและจำนวนพนักงาน คลิกเลือกว่าคุณต้องการใช้ Zendesk ในการจัดการด้านใดระหว่าง 1. จัดการคำร้องด้านการบริการลูกค้า 2. จัดการด้านงานขาย และ 3. ทั้งสองอย่าง จากนั้นกรอกชื่อ Subdomain ที่คุณต้องการใช้ (จะถูกตามด้วย .zendesk.com) หากสามารถใช้ได้จะแสดงเครื่องหมายถูกสีเขียว กดเลือกภาษาซึ่งในที่นี้ค่าเริ่มต้นจะเป็นภาษาอังกฤษ กรอกรหัสผ่านและกดปุ่ม ‘Complete Trial signup’ หลังจากกดปุ่มที่หน้าจอจะแสดงผลดังนี้ 5. ต่อไปจะเป็นขั้นตอนการยืนยันอีเมล เข้าไปยังกล่องจดหมายอีเมลที่ใช้ลงทะเบียนแล้วกดปุ่ม ‘Verify your account’ 6. ถึงตรงนี้ ที่ Tab หน้าจอของคุณจะปรากฏหน้าต่างเด้งขึ้นมาตาม Subdomain ที่คุณกำหนดไว้ กด ‘Get started’ 7....
Continue readingAgent Experience หรือ ประสบการณ์ตัวแทนคืออะไร? (และส่งผลที่ดีต่อลูกค้าด้วย)
หลาย ๆ ธุรกิจมุ่งเน้นที่จะสร้างประสบการณ์ลูกค้า (CX) ที่ดีที่สุดและให้ลูกค้าเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งในกระบวนการทำงาน ตั้งแต่การขาย การตลาด การซัพพอร์ต เพื่อสร้างความพึงพอใจในทุกขั้นตอนของ Customer Journey จนลืมไปว่าอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อประสบการณ์ (CX) ที่ดีของลูกค้าก็คือ ตัวแทน เจ้าหน้าที่ หรือ Agent นั่นเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ธุรกิจไม่ควรมองข้ามเช่นกัน เพราะตัวแทนก็เป็นมนุษย์เหมือนเรา ๆ การที่ตัวแทนมีความสุขก็จะส่งผลถึงประสิทธิภาพในการทำงานที่ดีขึ้น และการมีเครื่องมือที่ช่วยให้ตัวแทนทำงานได้ง่ายขึ้นก็เป็นสิ่งที่บริษัทสามารถช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับตัวแทนมากขึ้น ซึ่งมันก็จะส่งผลดีต่อไปถึงลูกค้าเช่นเดียวกัน ประสบการณ์ตัวแทน หรือ Agent Experience คืออะไร? ประสบการณ์ของตัวแทน คือ กิจกรรมต่าง ๆ ที่ทีมบริการและซัพพอร์ตมีส่วนร่วมกับบริษัทตั้งแต่การใช้เครื่องมือขององค์กร Workflow ในการทำงาน จนไปถึงการให้ความสำคัญกับหน้าที่ของตัวแทนว่ามีบทบาทในองค์กรมากแค่ไหน ซึ่งมันจะส่งผลโดยตรงต่อตัว Agent เช่น ตัวแทนสามารถแก้ปัญหาได้ง่ายขึ้นไหม? คุณภาพในการมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าเป็นอย่างไร? ตัวแทนรู้สึกมีคุณค่ามากแค่ไหนในการทำงานในองค์กร? แล้วทำไมประสบการณ์ของตัวแทนจึงสำคัญ? ประสบการณ์ตัวแทนที่ไม่ดี สามารถส่งผลไปถึงการบริการลูกค้าที่ไม่ดีได้อย่างรวดเร็ว หรือแย่ไปกว่านั้นก็อาจจะทำให้ลูกค้าของคุณได้รับประสบการณ์ที่ไม่ดีไปด้วย เพราะฉะนั้นก่อนที่ธุรกิจจะซัพพอร์ตลูกค้าได้ดีนั้น ควรเริ่มที่การซัพพอร์ตตัวแทนที่ดูแลลูกค้าให้ดีเสียก่อน ในปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ลักษณะการทำงานของหลาย ๆ ธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากไม่ว่าจะ Work From Home หรือ การทำงานบนช่องทางออนไลน์ที่มากขึ้น และอยู่ในสภาวะที่ต้องแยกกันทำงานที่บ้าน ทำให้ตัวแทนต้องมาเสียเวลากับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่เข้าใจยาก ก็ไม่น่าแปลกที่ว่า 70% ของตัวแทนจะรู้สึกงานล้นมือ ตามรายงานของ Zendesk Customer Experience Trends Report 2021 แต่ Zendesk ต่างออกไป ด้วยการรับรองว่าเป็น Digital Customer Service Software อันดับ 1 จาก Gartner ที่คำนึงถึงตัวแทนหรือผู้ใช้งานก่อนเป็นอันดับแรกเสมอ เพื่อให้ใช้งานง่ายและสะดวกที่สุดสำหรับผู้ใช้งาน และยังสร้างประสบการณ์ที่ดีทั้งตัวแทนและลูกค้า (CX) ไปในเวลาเดียวกันได้อีกด้วย ที่มา : Zendesk Blog ทดลองใช้ Zendesk trial ฟรี สอบถาม ราคา Zendesk ติดต่อ...
Continue readingFederal Communications Commission
ปรับระบบทำงานแบบเก่าที่เต็มไปด้วยเอกสารและจดหมายมากมายให้ทันสมัยขึ้น FCC เลือก Zendesk เป็น SaaS Solution แรกแทนระบบการทำงานแบบเดิมที่อยู่มานานกว่า 15 ปี ...
Zendesk เผย Facebook Messenger ช่องทางการสื่อสารที่เติบโตมากที่สุดในวิกฤติโควิด-19
การส่งข้อความ หรือ Messaging เป็นช่องทางการติดต่อสื่อสารระหว่างลูกค้ากับร้านค้าที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก และยังมีแนวโน้มที่จะมากขึ้นไปอีกในอนาคต วันนี้ Demeter ICT จะมาเล่าว่าทำไมคุณถึงควรเลือก Facebook Messenger ในการสร้าง CX หรือประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าของคุณให้ได้รู้กัน ไปดูกันเลย! ก่อนอื่นต้องรู้ว่าทำไมต้องเป็น Facebook Messenger? หลาย ๆ คนอาจจะสงสัยว่าทำไมต้องเป็น Facebook Messenger ไม่ใช้ Line, Instagram หรือ Twitter ต่าง ๆ ด้วยผลสำรวจของ Zendesk Customer Experience Trends Report 2021 จากทาง Zendesk ที่เป็นผู้นำในการให้บริการด้าน Omnichannel Customer Service Software พบว่า Facebook Messenger เป็นแอปพลิเคชันรับส่งข้อความที่มีผู้ใช้เพิ่มขึ้นมากที่สุด โดยเพิ่มขึ้นเร็วกว่าช่องทางอื่น ๆ ในปี 2020 ที่ผ่านมา โดยเปอร์เซ็นต์ของลูกค้าที่ชอบใช้ Facebook Messenger ในการรับส่งข้อความเติบโตขึ้นถึง 110% ดู Zendesk Customer Experience Trends Report 2021 คลิก! จากสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมารวมถึงในตอนนี้ก็อาจจะเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลให้ลูกค้าหันมาใช้ช่องทาง Facebook Messenger และ Social Media ในการติดต่อสื่อสารกับร้านค้าและลูกค้ามากขึ้น ซึ่งธุรกิจก็ต้องเรียนรู้และรับมือกับพฤติกรรมลูกค้าที่เปลี่ยนไป ส่วนในมุมของธุรกิจเองการที่ลูกค้าเปลี่ยนช่องทางการติดต่อมาทางแชทหรือการส่งข้อความทางโซเชียลมีเดียนั้น ก็ช่วยลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการติดต่อสื่อสารไปได้อย่างมหาศาล นอกจากนี้ยังช่วยให้ทีม Customer Service & Support สามารถบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในคราวเดียว ต่างจากการพูดคุยโทรศัพท์แบบเดิม ๆ ที่สามารถคุยได้ครั้งละคนเท่านั้น ซึ่ง Zendesk ก็รับรู้ได้ถึงการเติบโตของ Facebook Messenger และการรับส่งข้อความผ่านทาง Social Media จึงได้ออกแบบฟีเจอร์มาเพื่อตอบโจทย์การทำงานของทีม Customer Service & Support...
Continue reading5 ฟีเจอร์เด็ดของ Google Keep ที่คนจดโน้ตไม่ควรพลาด
Google Keep เป็นอีกหนึ่งบริการของ Google Workspace ที่มีไว้ช่วยจดโน้ตหรือบันทึกต่าง ๆ อย่างสะดวกสบาย พร้อมกับฟีเจอร์มากมายที่จะช่วยให้คุณจดโน้ตได้ง่ายขึ้น รวดเร็วแบบโปร พร้อมทั้งแชร์ให้กับคนอื่น ๆ ได้อีกด้วย ซึ่งวันนี้เราจะพาไปดูทั้ง 5 ฟีเจอร์เด็ดของ Google Keep ที่คนจดโน้ตไม่ควรพลาด 1. # แฮชแท็ก แบ่งหมวดหมู่และจัดกลุ่มโน้ต ฟีเจอร์นี้จะทำให้โน้ตและบันทึกต่าง ๆ เป็นระเบียบ หาง่าย โดยการใส่แฮชแท็กในโน้ต เช่น #Work #Meeting ก็จะทำให้โน้ตของคุณถูกแบ่งไว้เป็นหมวด ๆ ตามที่ตั้งชื่อ เหมือนกับสร้าง Label ไว้ให้โน้ตนั่นเอง ซึ่งจะทำให้คุณหาโน้ตได้ง่ายขึ้นตามแฮชแท็กที่สร้างไว้ โดยค้นหาตามชื่อซึ่งอยู่ทางด้านซ้ายมือ 2. พิมพ์ไม่ทัน พูดเอาก็ได้ อีกหนึ่งฟีเจอร์เด็ดของ Google Keep คือ การถอดเสียงพูด โดยคุณสามารถพูดลงบนโน้ต และ Google Keep จะทำการพิมพ์ข้อความที่คุณพูดลงไปให้อัตโนมัติแบบเรียลไทม์ เรียกได้ว่า พูดปุ๊ป พิมพ์ลงให้ปั๊ป และเสียงที่พูดนั้นก็จะถูกบันทึกไว้ให้ในโน้ต ซึ่งสามารถเปิดฟังทีหลังได้อีกด้วย 3. พิมพ์แล้ว พูดแล้ว เขียนอีกก็ได้ ไม่ต้องไปอีกแอปเพื่อจดบันทึกโดยการเขียน ถ้าคุณไม่ถนัดพิมพ์ Google Keep สามารถให้คุณเขียนแทนการพิมพ์ได้ และยิ่งกว่านั้นคือเมื่อคุณเขียนเสร็จแล้ว สามารถถอดลายมือออกมาเป็นตัวหนังสือ ไม่ต้องเสียเวลามานั่งพิมพ์อีกรอบ 4. แปลงลายมือหรือข้อความในภาพเป็นตัวอักษร Google Keep สามารถแปลงข้อความในภาพหรือลายมือที่เราเขียนไว้ในโน้ตออกมาเป็นตัวอักษรได้ โดยที่คุณไม่ต้องนำภาพหรือสิ่งที่เขียนเอาไว้มาพิมพ์ลงโน้ตอีกรอบ ฟีเจอร์นี้ก็สร้างความสะดวกสบายสุด ๆ เพียงแค่คลิกไอคอน สามจุด > Grab Image Text (จับข้อความจากรูปภาพ) เท่านี้ข้อความในภาพทั้งหมดก็จะถูกถอดออกมาเป็นตัวหนังสือ สามารถ Copy ไปวางที่อื่นได้อีกด้วย 5. โน้ตเสร็จแล้ว แชร์ให้เพื่อน ฟีเจอร์นี้คล้ายกับการแชร์เอกสารใน Google Docs ที่คุณสามารถแชร์ให้กับเพื่อนร่วมงานหรือใครก็ได้ เพียงแค่ใส่อีเมลของคนที่คุณต้องการจะแชร์เข้าไป เท่านี้ก็จะสามารถเข้ามาดู แก้ไข หรือทำงานร่วมกันในโน้ตที่คุณสร้างขึ้นได้...
Continue readingUpselling กับ Cross-selling คืออะไร? ส่องกลยุทธ์เพิ่มยอดที่นักขายห้ามพลาด
คุณเคยเดินเข้าไปในร้านอาหารตามสั่งแล้วคุณป้าถามว่า “อีกสิบบาทมั้ย ใส่ไข่ดาวเพิ่ม” รึเปล่า? เชื่อหรือไม่ แค่หลักการง่าย ๆ นี้ก็นับเป็นกลยุทธ์การขายแล้ว และในความเป็นจริงกลยุทธ์พวกนี้อยู่รอบตัวเรามากกว่าที่คุณคิด ในบทความนี้ เราจะมารู้จักกับกลยุทธ์การขายที่ชื่อ Upselling และ Cross-selling อันเป็นกลยุทธ์พื้นฐานที่นักขายห้ามพลาดกัน Upselling คืออะไร? Upselling หรือ “การเพิ่มยอดขาย” ความหมายของมันคือการสนับสนุนให้ลูกค้าตัดสินใจใช้จ่ายมากกว่าที่ตั้งใจไว้ในตอนแรก ในขณะเดียวกันในแง่ของลูกค้าเองก็จะรู้สึกพึงพอใจมากขึ้นเมื่อได้ซื้อสินค้าที่มองว่าคุ้มค่ากว่าเดิม หรืออาจมีฟีเจอร์ของแถมเสริมเพิ่มเข้าไปด้วยเช่นเดียวกัน มีการวิจัยหนึ่งพบว่าบางครั้งเรื่องของ “ค่าใช้จ่าย” ก็ไม่ใช่ปัจจัยที่สำคัญที่สุดเสมอไป แต่เป็น “อารมณ์ความรู้สึก” ที่ใช้ในการตัดสินใจซื้อ และหากเมื่อรวมกับพฤติกรรมการซื้อของผู้คนสมัยนี้ที่มักเริ่มต้นจากหาข้อมูลก่อน แล้วค่อยนำมาเปรียบเทียบหาสินค้าหรือบริการที่จะตอบโจทย์ความต้องการได้มากที่สุด ท่ามกลางสินค้าจำนวนมากที่มีฟีเจอร์คล้ายคลึงกัน ถ้ามีสินค้าหนึ่งที่โดดเด่นขึ้นมาแม้จะมีราคาสูงกว่า ความคิดที่ว่า “แค่เพิ่มเงินอีกจำนวนหนึ่ง” ก็จะนำไปสู่การตัดสินใจซื้อได้แม้จะเป็นตัวเลขที่มากกว่าที่ตั้งใจไว้ในตอนแรกก็ตาม การใช้เทคนิค Upselling ไม่ควรใช้แบบบังคับ รบเร้าเกินไปจนเสียความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้า แต่ควรเป็นในแง่ของการนำเสนอคุณค่าหรือสิ่งที่ลูกค้าจะได้รับถ้าจ่ายมากกว่าเดิมให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น แล้ว Cross-selling คืออะไร? Cross-selling คือการขายสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวเนื่องกับสินค้าหลัก ยกตัวอย่างเวลาที่เราไปธนาคารเพื่อเปิดบัตรเดบิต พนักงานก็อาจจะเสนอขายสินเชื่อหรือประกันเสริมให้กับเรา กลยุทธ์ Cross-selling ถือเป็นอีกแนวทางที่จะช่วยเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจ และเป็นโอกาสให้เรานำเสนอสินค้าหรือบริการที่มีแนวโน้มว่าลูกค้าจะให้ความสนใจเพิ่มเติมเข้าไป พนักงานขายที่ร้านไอทีอาจจะใช้ Cross-selling ครั้งแรกไปกับการนำเสนออุปกรณ์อื่น ๆ ที่ข้องเกี่ยวกันอย่างแล็ปท็อปกับเมาส์ ในส่วนของพนักงานซัพพอร์ตก็สามารถใช้หลัก Cross-selling หากว่าลูกค้าต้องการใช้ฟีเจอร์หนึ่งที่ซอฟต์แวร์ที่ตนเองใช้อยู่ไม่มี แต่ฟีเจอร์นั้นอยู่ในซอฟต์แวร์อีกตัวของแบรนด์ซอฟต์แวร์เดียวกัน สามารถสรุปได้ว่า Upselling คือการจูงใจให้ลูกค้ายอมจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อสินค้าที่อัพเกรดกว่าเดิม ขณะที่ Cross-selling คือการโน้มน้าวให้ลูกค้าซื้อสินค้าหรือบริการหนึ่งที่อาจเกี่ยวข้องกันได้นั่นเอง แล้วต้องทำอย่างไรถึงจะ Upselling กับ Cross-selling ให้ดีได้? แม้ทั้งสองกลยุทธ์นี้จะมีประโยชน์และสามารถเพิ่มยอดขายได้จริงในแง่ของธุรกิจ ทว่าหากมองในแง่ของลูกค้าขึ้นชื่อว่าต้องเสียเงิน อะไรที่รบเร้ามากเกินไปก็อาจพลอยให้เสียอารมณ์ขึ้นมาแทนได้เหมือนกัน ดังนั้นการวางแผนการตลาดและการขายให้ดี รู้จักใช้ Customer Journey หรือ Sale Pipeline เพื่อให้ใช้กลยุทธ์การขายเหล่านี้ได้ถูกจังหวะ (Touchpoint) จึงถือเป็นอะไรที่สำคัญอย่างมาก ในปัจจุบันมีเครื่องมือช่วยบริหารการขายอยู่มากมาย ทว่าหากพูดถึงเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพการขายที่ใช้ง่าย ตอบโจทย์ทั้งทีมขายและลูกค้าล่ะก็เราขอแนะนำ Zendesk Sell เครื่องมือนี้จะช่วยคุณเก็บบันทึกทุกข้อมูลของลูกค้า เห็นภาพรวมการขายมากขึ้น ช่วยให้คุณวิเคราะห์พฤติกรรมความต้องการของลูกค้าและใช้ทุกโอกาสที่มีอยู่ได้อย่างเต็มที่ อ่านข้อมูลเพิ่มเติมของ Zendesk Sell ได้ที่นี่เลย สุดท้ายนี้ไม่ว่าจะเป็น Upselling...
Continue reading