ผลการคาดการณ์ของธุรกิจธนาคารต่าง ๆ ที่ประเมินสถานการณ์โควิด-19 เอาไว้ว่า จำนวนผู้ติดเชื้อจะเริ่มลดลงก็ในไตรมาสที่ 4 และในส่วนของธุรกิจเองก็คิดว่าจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวก็ในปี 65 ดังนั้นในระหว่างนี้แบรนด์ควรจะต้องมีวิธีปรับตัวอย่างไร? เพื่อให้ธุรกิจสามารถอยู่รอดและเป็นการสร้างโอกาสให้แบรนด์ของคุณไปอยู่ในใจของผู้บริโภคได้ ในช่วงที่ผู้บริโภคนั้นมีจิตใจที่ย่ำแย่และต้องการความช่วยเหลือมากที่สุด ผลกระทบจากโควิด-19 ที่มีต่อผู้บริโภคมีอะไรบ้าง? สุขภาพจิตที่ย่ำแย่ลง เนื่องจากหลาย ๆ สถานการณ์ที่รุมเร้าไม่ใช่แค่เพียงโควิด-19 เท่านั้นแต่ยังมีปัญหาด้านเศรษฐกิจที่แย่ไม่แพ้กัน ทำให้เกิดภาวะเครียดตามมา จึงเกิดการชอปปิงบำบัดออนไลน์ขึ้นมาแทน ผู้บริโภคเริ่มเซนซิทีฟกับเรื่องราคามากขึ้นเพราะผู้บริโภคมีรายได้ที่ลดลง ออมเงินกันมากขึ้น ความมั่นใจต่อภาครัฐส่งผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคเช่นกัน ผู้บริโภคไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย เพราะไม่สามารถคาดเดาว่ารัฐจะจัดการกับสถานการณ์นี้ได้เมื่อไหร่ เทรนด์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปเมื่อเกิดโควิด-19 การบริโภคสินค้าบนช่องทาง Digital, การ Work from home, Live Online, Webinar โดยในตอนแรกอาจจะยังเป็นสถานการณ์ที่หลาย ๆ บริษัทอาจจะยังไม่คุ้นชิน แต่ตอนนี้ระยะเวลาผ่านมาเกือบ 2 ปีทำให้มันกลายเป็น Permanent Shift คือ การเปลี่ยนแปลงแบบถาวร ความต้องการบริโภคสินค้าบนช่องทางออนไลน์มากขึ้น แต่ต้องบอกก่อนว่าจำนวนผู้บริโภคบนช่องทางออนไลน์มีจำนวนมากขึ้นเป็นปกติอยู่แล้ว และเน้นไปที่ Functional เป็นหลัก แต่เทรนด์ที่เพิ่มเข้ามาในช่วงโควิด-19 คือความต้องการทางด้าน Emotional หรือที่หลาย ๆ คนเรียกว่า ชอปปิงบำบัด Active in Social & Sustain ผู้บริโภคมี Mindset ในแง่ของสังคม วัฒนธรรมต่อแบรนด์ที่เปลี่ยนไป เช่น ความยั่งยืนในสิ่งแวดล้อม ภาพลักษณ์ของแบรนด์ทางสังคม และเรื่องที่ Sensitive ที่สุดของประเทศไทยคือเรื่องของการเมือง ทำให้แบรนด์ต้องคำนึงถึงเรื่องพวกนี้ให้มากขึ้นและเตรียมรับมือกับ Crisis Management ตลอดเวลา 8C ที่ธุรกิจต้องคำนึงถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป Connectivity การเข้าถึงผู้บริโภคในทุก ๆ Touchpoint ไม่ว่าจะเป็นออนไลน์หรือออฟไลน์ให้เชื่อมต่อถึงผู้บริโภค Conversation การสนทนาที่เพิ่มรูปแบบมากขึ้น ไม่ใช่แค่การสนทนาเพื่อขายของเพียงเท่านั้น แต่ต้องรับฟังปัญหาของผู้บริโภคให้มากขึ้น Compassion ความเห็นอกเห็นใจผู้บริโภคว่าต้องเจอกับอะไรในตอนนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากเพราะเป็นการสร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้าให้จดจำภาพลักษณ์ของแบรนด์ได้เลย Consciousness การตระหนักรู้จิตใจของผู้บริโภค ธุรกิจสามารถช่วยแก้ปัญหาอะไรของคุณได้บ้าง จากเดิมที่เน้น Functional แต่มาเพิ่ม Emotional เข้าไปด้วย ซึ่งถ้าธุรกิจทำได้แบรนด์ของเราจะไปอยู่ในใจของลูกค้าอย่างแน่นอน...
Continue readingGoogle Chat เครื่องมือสื่อสารทรงพลัง ตอบโจทย์การทำงานร่วมกันภายในองค์กร
ในปัจจุบันการทำงานเเบบ Online Working ในเรื่องของการสื่อสารร่วมกันถือเป็นปัจจัยหลักที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งที่จะช่วยให้การทำงานในเเต่ละโปรเจกต์มีความคล่องตัวเเละราบรื่นมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าคุณจะทำงานในแผนกไหนขององค์กรต่างก็ต้องใช้เครื่องมือสื่อสารกันอยู่ตลอดเวลา เเต่การจะสื่อสารอย่างไรให้มีประสิทธิภาพเเละช่วยเสริมให้ชีวิตประจำวันของการทำงานมีความราบรื่นในเเต่ละวันนั้นถือเป็นสิ่งที่สำคัญ อีกหนึ่งตัวเลือกที่ทรงพลังอย่าง Google Chat ที่มีความโดดเด่นและตอบโจทย์เฉพาะในด้านของการสื่อสารระหว่างกันภายในองค์กร มีฟังก์ชันที่จะทำให้คุณมีความสะดวกมากขึ้นอย่างเเน่นอน โดย Google Chat ทำอะไรได้บ้าง เริ่มต้นใช้งานอย่างไร ไปดูกันเลย Google Chat เริ่มต้นใช้งานได้อย่างไร ? คุณสามารถดาวน์โหลดแอป Chat หรือจะดูข้อความได้โดยตรงจากใน Gmail เลือกช่องทางที่เหมาะสมสำหรับทุกการสนทนาสำหรับคุณ เพื่อช่วยให้คุณติดตามการสื่อสารในงานได้ทั้งหมด Google Chat ทำอะไรได้บ้าง ? 1. สนทนาเเบบแชทเดี่ยวและกลุ่ม ใน Google Chat จะแยกแชทเดี่ยวและกลุ่มกันอย่างชัดเจน ในหน้าต่าง Chat เดี่ยวจะเป็นช่องส่งข้อความส่วนตัวระหว่างคน 2 คน ส่วนหน้าต่าง Rooms คือ แชทกลุ่ม คุณสามารถสร้างพื้นที่ในการทำงานร่วมกับทีมของคุณได้อย่างสะดวก อีกทั้งยังสามารถปักหมุดแชทที่คุยบ่อย ๆ ได้อีกด้วย Chat Rooms Chat Rooms 2. แชร์ไฟล์ นัดหมาย ผ่านแชท คุณสามารถแชร์ไฟล์งานจาก Drive หรือไฟล์ในคอมพิวเตอร์ให้กับเพื่อนร่วมงานในเเชทได้ เเละยังนัดหมายต่าง ๆ ใน Calendar ได้ง่าย ๆ เพียงเเค่คลิกที่ไอคอนของเเต่ละเเอปในด้านล่างขวามือของแชทคุณ ซึ่งไอคอนต่าง ๆ เหล่านี้จะอยู่ในหน้าต่างเเชทช่วยให้คุณทำงานสะดวกมากยิ่งขึ้น 3. กล่องเเชทบอกสถานะกำลังใช้งาน โดยเบื้องต้นเมื่อคุณใช้งาน Google Chat จะเเสดงผลคล้ายกับใน Messenger ของ Facebook ที่จะขึ้นสีเขียว คือ กำลังใช้งานอยู่นั้นเอง เเต่ทาง Google Chat จะมีความโดดเด่นเฉพาะในด้านของการทำงาน เนื่องจากเวลาใช้งานจะขึ้นเป็น Active คือ กำลังใช้งานอยู่เป็นการบอกว่าคุณสะดวกในการตอบแชทได้ เเต่หากคุณกำลังติดงานอื่น ๆ หรือประชุมอยู่นั้น คุณสามารถเลือก...
Continue readingแอปพลิเคชันทำงานร่วมกันเเบบเรียลไทม์ ช่วยให้งานเอกสารเป็นเรื่องง่ายกับ Google Docs
แอปพลิเคชัน Google Docs ของ Google Workspace คือ แอปพลิเคชันเพื่อการสร้าง และแก้ไขเอกสารในรูปแบบข้อความ ที่มีการทำงานและจัดเก็บบนคลาวด์ หากจะเปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายมากยิ่งขึ้น Google Docs มีลักษณะการทำงานที่คล้ายคลึงกับ Microsoft Word นั่นเอง แต่จะมีความสามารถพิเศษที่ดีกว่าและแตกต่างจากการใช้ Microsoft Word อย่างไร ไปดูกัน 1. Google Docs เป็นเครื่องมือในการสร้าง และแก้ไขเอกสารออนไลน์ ช่วยให้คุณจัดรูปแบบข้อความและย่อหน้าได้ง่าย ๆ มีแบบอักษรนับร้อยแบบให้คุณเลือกใช้งาน สามารถเพิ่มลิงก์ รูปภาพ และภาพวาดในไฟล์เอกสารได้อย่างสะดวกคล่องตัว เรียกได้ว่าตอบสนองคนที่ต้องการใช้งานเอกสารได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะใช้โทรศัพท์ แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์ หรือแม้ขณะที่คุณไม่ได้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต คุณก็สามารถสร้าง เเละเเก้ไขเอกสารได้ทุกเวลา 2. ใช้งานและทำงานร่วมกันในแบบเรียลไทม์ สามารถแก้ไขไฟล์แบบเรียลไทม์และทำงานร่วมกันบนไฟล์เอกสารเดียวกันได้ทั้งกับบุคคลภายในและภายนอกองค์กร สำหรับการแก้ไขเอกสาร จะแสดงให้คุณเห็น ว่าใครแก้ไขอะไรและเมื่อใด 3. เเชทเเละเเสดงความคิดเห็น สามารถแสดงความคิดเห็นเเละแชทได้ โดยมีหน้าต่างสนทนาอยู่บนหน้าจอ สามารถเพิ่มความคิดเห็นโดยใช้ “+” กับที่อยู่อีเมลเพื่อให้คนนั้น ๆ ได้รับการเเจ้งเตือน 4. ทำงานด้วยกันได้มากกว่าเดิม เเชร์กับใครก็ได้ คุณสามารถคลิกเเชร์เพื่อให้ทุกคน เพื่อนร่วมงาน ให้คำเเนะนำกับคุณ หรือเเก้ไขเอกสารของคุณได้โดยตรง นอกจากนี้ยังสามารถกำหนดได้ว่าใครสามารถดูเอกสาร แสดงความคิดเห็น หรือแก้ไขเอกสารของคุณได้ ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้ทุกเมื่อที่คุณต้องการ 5. บันทึกอัตโนมัติ การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดในเอกสารของคุณจะถูกบันทึกไว้ขณะที่คุณพิมพ์โดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ยังสามารถดูประวัติการแก้ไขเพื่อดูเวอร์ชันเก่า ๆ และเรียกคืนได้เสมอเมื่อต้องการ ในกรณีที่มีการทำงานร่วมกันกับเพื่อนร่วมงานในเอกสารเดียวกันหลายคน คุณสามารถดูได้ว่าใครมีส่วนร่วมในการแก้ไข เพิ่มเติม เปลี่ยนแปลงในเนื้อหาส่วนใดบ้าง จึงไม่ต้องกังวลว่าจะไม่สามารถติดตาม และตรวจสอบเมื่อมีความผิดพลาดเกิดขึ้น 6. ทำงานได้กับ Word ในการใช้งานคุณสามารถแปลงไฟล์ Word เป็น Google Docs ได้ รวมถึงสามารถบันทึกไฟล์งานของคุณเป็น .docx, .pdf, .odt, .rtf, .txt หรือ .html ก็ได้ ในการใช้งานของ Google Docs...
Continue readingหมดปัญหา Google Forms มีรายชื่อซ้ำ ตั้งค่าตามได้ง่าย ๆ เมื่อได้อ่านบทความนี้
จากกระแสในโซเชียลที่กำลังมาแรงและเป็นที่วิพากษ์วิจารอยู่ในขณะนี้ ถึงกรณีการลงทะเบียนจัดสรรวัคซีนของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่ปรากฎเป็นลิสรายชื่อของบุคคลคนเดียวซ้ำกันหลายรายการ โดยอ้างว่าเกิดจากความซ้ำซ้อนจากการใช้งานระบบของ Google Forms ฉะนั้นวันนี้ “ดีมีเตอร์ ไอซีที” ผู้ให้บริการ Google Workspace ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ที่มีลูกค้าในเอเชียแปซิฟิก (APAC) กว่า 3,000 ราย จะพาทุกท่านมาไขข้อข้องใจว่าหากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว เราจะมีวิธีการแก้ไข และมีวิธีการป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดอย่างไรได้บ้าง Google Forms วิธีตั้งค่า Google Forms ให้ผู้ใช้งานตอบได้คนละครั้งเท่านั้น บน Google Forms ในการจะตั้งค่าจำกัดให้ผู้ใช้สามารถกรอกแบบฟอร์มได้คนละหนึ่งครั้งสามารถทำได้ง่าย ๆ ดังนี้ เปิด Google Forms สร้างใหม่หรือเลือก Forms ที่มีอยู่แล้ว เพื่อตั้งค่า เมื่อเลือก Forms แล้ว คลิกตรงตั้งค่า (ไอคอนรูปฟันเฟือง) 4. จากนั้นติ๊กเครื่องหมายถูกที่ “จำกัดให้ตอบกลับได้เพียง 1 ครั้ง” (Limit to 1 response) *ผู้ที่กรอกฟอร์มจะต้องลงชื่อเข้าสู่ระบบ Google เสียก่อน ซึ่งการตั้งค่าแบบนี้จะทำให้ผู้ใช้ที่เข้ามากรอกฟอร์มอีกรอบด้วยบัญชี Google เดิม จะพบว่าไม่สามารถกรอกได้แล้วนั่นเอง วิธีตั้งค่า Google Forms ให้สามารถแก้ไขได้ใหม่เมื่อกรอกข้อมูลผิด ผู้กรอกฟอร์มสามารถแก้ไขข้อมูลเมื่อกรอกข้อมูลในฟอร์มผิดได้ โดยไม่ต้องกรอกใหม่ หากผู้สร้างฟอร์มตั้งค่าดังนี้ สร้างใหม่หรือเลือก Forms ที่มีอยู่แล้ว คลิกตรงตั้งค่า (ไอคอนรูปฟันเฟือง) 3. ตรง “ผู้ตอบสามารถ” (Respondents can) ให้ติ๊กเครื่องหมายถูกที่ “แก้ไขหลังจากส่ง” (Edit after submit) 4. หลังกดส่งฟอร์ม ผู้ใช้จะสามารถแก้ไขได้ โดยคลิก “แก้ไขการตอบกลับของคุณ” (Edit your response) *ผู้ใช้จำเป็นที่จะต้องเก็บลิงก์สำหรับแก้ไขนี้ไว้ หลังจากส่งฟอร์ม. 5. แต่เพื่อความสะดวกยิ่งขึ้น สามารถตั้งค่าให้ฟอร์มส่งลิงก์แก้ไขไปยังอีเมลผู้กรอกได้...
Continue readingฟีเจอร์เด็ดของ (แอปพลิเคชันใน) Google Workspaceช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานอย่างชาญฉลาด
ในปัจจุบันภาคองค์กรและภาคธุรกิจมีการปรับรูปแบบการทำงานเป็นแบบ Work from Home สูงขึ้นเรื่อย ๆ การเลือกใช้เครื่องมือในการทำงานให้มีความสอดคล้องและสามารถรองรับการทำงานจากที่บ้านได้นั้นจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง และแอปพลิเคชันของ Google Workspace ก็เป็นแอปพลิเคชันที่กลายเป็นที่นิยมเป็นอย่างมากในช่วงนี้ เนื่องจากมีความโดดเด่นในเรื่องของการทำงานร่วมกันภายในองค์กรแบบเรียลไทม์ แม้พนักงานไม่ได้ทำงานอยู่ที่เดียวกัน หรืออยู่ที่ออฟฟิศก็สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่นด้วยแอปพลิเคชันต่าง ๆ ของ Google Workspace ดังนี้ 1. Gmail ที่มีความพิเศษเเละโดดเด่นแตกต่างจาก Gmail ธรรมดาในเรื่องของการเสริมสร้างความน่าเชื่อถือให้กับบริษัทของคุณ เนื่องจากบริการ Gmail ของ Google Wrokspace สามารถกำหนดชื่อโดเมนอีเมลเป็นชื่อบริษัทของคุณได้ เช่น you@yourcompany.com และยังสามารถสร้างรายชื่ออีเมลแบบกลุ่มได้อีกด้วย เช่น sales@yourcompany.com 2. Google Calendar ไม่ได้เป็นเเค่ปฎิทินออนไลน์ธรรมดา ๆ เท่านั้น เเต่มีความโดดเด่นเเละพิเศษเปรียบเสมือนกับว่าคุณมีเลขา ฯ ส่วนตัวเลยทีเดียว โดยการใช้งานสามารถตั้งค่าและกำหนดรายละเอียดการประชุมหรือนัดหมายได้ อีกทั้งยังมีการตั้งเวลาแจ้งเตือนเพื่อไม่ให้คุณพลาดนัดหมายสำคัญ ๆ และง่ายต่อการใช้งาน สามารถสร้างนัดหมายได้ตามต้องการอย่างรวดเร็ว 3. Google Sheets ช่วยในการทำงานของเอกสารรูปแบบสเปรดชีต มีความโดดเด่นในการทำงานร่วมกันและการแชร์ข้อมูลใน Sheets สามารถเพิ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องกับแผนงาน เห็นการเปลี่ยนแปลงของข้อมูลแบบเรียลไทม์ ระบบจะบันทึกการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดอัตโนมัติ ช่วยให้ทีมของคุณทำงานร่วมกันได้ง่ายขึ้น 4. Google Site เป็นเครื่องมือสร้างเว็บไซต์สำหรับองค์กรโดยไม่ต้องเขียนโปรแกรม ใช้งานง่าย รองรับได้กับหน้าจอทุกขนาด 5. Google Meet ตัวแอปพลิเคชันประชุมทางวิดีโอสำหรับองค์กร (Video Conference) มีความพิเศษซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อการทำงานเป็นทีม เชื่อมต่อกับทีมของคุณได้จากทุกที่ สามารถเข้าร่วมประชุมทางวิดีโอได้โดยตรงจาก Calendar, Gmail หรือคำเชิญทางอีเมล ซึ่งง่ายต่อการใช้งาน และรองรับกับทุกอุปกรณ์ 6. Google Drive ช่วยในการจัดเก็บ เข้าถึง และแชร์ไฟล์ขององค์กรอย่างปลอดภัยได้จากที่เดียว สามารถเปิดดูไฟล์ได้ทุกที่ ทุกเวลา ทุกแพล็ตฟอร์ม 7. Google Slides ตัวช่วยในการสร้างไฟล์นำเสนอในรูปแบบสไลด์ ซึ่งสามารถสร้างและแก้ไขงานนำเสนอร่วมกันได้แบบเรียลไทม์ นอกจากนี้ยังสามารถแสดงความคิดเห็น และแชทสนทนากับเพื่อนร่วมงานได้ในไฟล์นั้นเลย ช่วยให้การทำงานนำเสนอกับเพื่อนร่วมทีมเป็นไปอย่างง่ายดายและมีคุณภาพ นอกจากนี้ยังสามารถจัดการสิทธิ์ในการเข้าถึงไฟล์ว่าใครสามารถแก้ไข ดู หรือเพิ่มความคิดเห็นได้บ้างอีกด้วย...
Continue readingNexon
Nexon บริษัทเกมอันดับหนึ่งในเกาหลีใต้ใช้ Zendesk ยกระดับ CSAT 114% ...
ล็อคดาวน์แต่งานไม่ล็อค WFH กันไปยาว ๆ กับ Google Workspace
สถานการณ์ในปัจจุบันตามมาตรการที่ออกมาของรัฐบาลน่าจะทำให้หลายองค์กรต้อง WFH กันไปยาว ๆ ถึงแม้จะต้องทำงานอยู่บ้าน การมีเครื่องมือที่ดีและตอบสนองการทำงานร่วมกันในช่วงเวลานี้ ก็คงหนีไม่พ้น “Google Workspace เครื่องมือเพื่อการทำงานร่วมกัน ที่เหมาะที่สุดในช่วง WFH” ชุดเครื่องมือการทำงานที่ครบครัน ครบทุกเครื่องมือการทำงานไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารทั้งภายในและนอกองค์กร Gmail, Google Chat, Google Meet การทำงานบนเอกสารและแชร์ร่วมกัน Docs, Sheets, Slides การเก็บไฟล์บนคลาวด์ Google Drive และความปลอดภัยขององค์กร ข้อมูลไม่สูญหายแน่นอนอย่าง Google Vault ทั้งหมดนี้รวมอยู่ใน Google Workspace ทั้งหมด ที่ทุกอย่างสามารถแชร์ร่วมกันได้ เข้าถึงได้ เพียงแค่มีเบราว์เซอร์และอินเทอร์เน็ต อีกทั้งยังมีฟีเจอร์อัปเดตเรื่อย ๆ เพื่อให้องค์กรนั้นทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพไม่ว่าจะสถานการณ์ไหนก็ตาม นัดหรือเข้าประชุมออนไลน์ได้ทุกช่องทาง Google Meet ออกแบบมาเพื่อการทำงานอย่างแท้จริง สามารถนัดหรือเข้าร่วมประชุมออนไลน์ได้ทุกช่องทางไม่ว่าจะเป็นทาง Gmail หรือ Google Calendar วิธีการนัดประชุมนั้นง่ายมาก ๆ เพียงแค่เลือกวันเวลา และกรอกอีเมลเพื่อนร่วมงาน เพียงเท่านี้ทุกคนก็ได้รับคำเชิญทางอีเมลและสามารถเข้าร่วมประชุมได้ผ่านทาง Gmail และ Google Calendar เช่นกัน อีกทั้งในแอปพลิเคชันบนมือถือ แค่โหลดแอปฯ Gmail แอปฯเดียวก็เข้าได้ทั้งอีเมล ห้องแชท และ Google Meet สะดวกต่อการทำงานสุด ๆ มอบหมายและติดตามงานได้ แม้จะต้องทำงานคนละที่ แต่การติดตามงานนั้นก็สำคัญไม่แพ้กัน จะรู้ได้ไงว่าคนในทีมได้รับมอบหมายงานอะไรบ้าง และทำได้ตรงตามแผนหรือไม่ Google Sheets สามารถสร้างสเปรดชีตการทำงานร่วมกันและแชร์ไฟล์ให้กับเพื่อนร่วมงานได้ สามารถเพิ่มช่อง Checkbox แก้ไขรายละเอียด หรือแสดงความคิดเห็น และเห็นการทำงานไปพร้อม ๆ กันได้แบบเรียลไทม์ สามารถติดตามและวางแผนการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยที่ทุกคนเห็นไฟล์เดียวกันแม้อยู่กันคนละที่ หรือจะเป็นการเช็คชื่อออนไลน์ ที่ทาง Demeter ICT ได้จัดทำคลิปขึ้นมาเพื่อสอนการประยุกต์การใช้งานเครื่องมือใน Google Workspace ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อองค์กร คลิกเพื่อดู ล็อคดาวน์ต่อไป แต่งานไม่ล็อคแน่นอน ปลดล็อคการเดินทางเข้าออฟฟิศ เพราะไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ก็สามารถทำงานได้...
Continue reading4 วิธีทลายการทำงานแบบไซโล (Silo) ภาวะตัวใครตัวมันที่อาจทำให้ธุรกิจของคุณพัง
คุณกำลังทำงานแบบไซโลอยู่รึเปล่า แล้วแบบไหนถึงจะเรียกว่าไซโล? ก่อนอื่น มาดูความหมายของไซโลกัน ไซโล (Silo) คือลักษณะการทำงานแบบแยกส่วน เป็นภาวะหนึ่งที่เกิดขึ้นได้เมื่อข้อมูลหรือองค์ความรู้ในองค์กรกระจัดกระจายกัน การจัดการข้อมูลที่ไม่เป็นระบบนี้เองทำให้เกิดปัญหาตามมามากมายไม่ว่าจะเป็นการทำงานซ้ำซ้อน ไม่รู้ว่าฝ่ายอื่นดำเนินงานไปถึงไหนแล้ว ขาดการสื่อสารระหว่างทีม เป็นลักษณะการทำงานที่ตรงข้ามกับ Teamwork อย่างสิ้นเชิง การทำงานแบบไซโลทำให้องค์กรพบความยุ่งยากในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ระบบการจัดการภายในองค์กรที่ไม่มีประสิทธิภาพยังส่งผลเสียในการดำเนินงานของพนักงาน ถึงขั้นที่ว่าเมื่อลูกค้ามีปัญหาสอบถามเข้ามาทว่าพนักงานต่างไม่ทราบว่าต้องรับมืออย่างไร ไม่แน่ใจว่าเป็นความรับผิดชอบของตนรึเปล่า ผลักไสกันไปมาและทำให้ภาพลักษณ์ขององค์กรติดลบเอาได้ “ภาวะไซโลจะเกิดขึ้นเมื่อข้อมูลลูกค้าหรือข้อมูลธุรกิจถูกจัดเก็บในหลาย ๆ ที่แตกต่างกัน ทีมงานหลายฝ่ายไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายหรือไม่สามารถเข้าถึงได้เลย” Jessica Mills, Senior Product and Platform Manager ของ Zendesk กล่าว แล้วเราจะทลายการทำงานแบบไซโลนี้ได้อย่างไร? การจะทำลายไซโลจำเป็นต้องสร้างระบบบริหารในองค์กรที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถทำได้โดยใช้เทคโนโลยีหรือเครื่องมือที่เหมาะสม ขึ้นอยู่กับว่าธุรกิจนั้น ๆ ต้องการจะส่งมอบประสบการณ์ลูกค้าอย่างไรและแบบไหนที่ตอบโจทย์รูปแบบการทำงานของเจ้าหน้าที่มากที่สุด สำหรับบทความนี้เราก็มี 4 ข้อแนะนำดี ๆ จากผู้เชี่ยวชาญของ Zendesk มานำเสนอให้ทราบกัน 1. สร้าง Customer Journey Map ของลูกค้าในอุดมคติ สำหรับด้านการสร้างประสบการณ์ลูกค้า (CX) นั้น หากต้องการจะทำลายไซโลก็ต้องตั้งวัตถุประสงค์ให้ดีเสียก่อน เริ่มจากวางแผนว่าประสบการณ์แบบไหนที่อยากส่งมอบให้กับลูกค้า การจะทำให้ได้แบบนั้นต้องใช้ข้อมูลในส่วนไหนบ้างและต้องทำอย่างไรให้บรรลุเป้าหมาย การสร้าง Customer Journey Map จะช่วยให้เห็นภาพรวมปฏิสัมพันธ์ทั้งหมดของลูกค้าที่มีต่อแบรนด์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เมื่อเห็นภาพแล้วก็จะวิเคราะห์ได้ว่าจุดไหนควรเสริมข้อมูลอย่างไรเข้าไป ไม่ใช่ทุกองค์กรที่มีรูปแบบการทำงานหรือมีเป้าหมายแบบเดียวกัน ดังนั้นสำหรับขั้นตอนนี้การจัดลำดับความสำคัญของแต่ละส่วนและออกแบบ Customer Journey ที่เหมาะกับธุรกิจจึงเป็นอะไรที่สำคัญอย่างมาก 2. หาว่าเจ้าหน้าที่ต้องใช้ข้อมูลอะไรบ้าง เจ้าหน้าที่ฝ่ายบริการเป็นฝ่ายที่มีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าโดยตรง หลังจากวางแผนแล้วว่าต้องการส่งมอบประสบการณ์ลูกค้าหรือ CX แบบไหน ขั้นตอนต่อไปจึงเป็นการพิจารณาว่าต้องใช้ข้อมูลอะไรถึงจะทำให้ได้ตามเป้าหมายนั้น “ลองตรวจดูคำร้องของลูกค้าแล้วเลือกปัญหาที่พบบ่อยที่สุดสักห้าหรือสิบปัญหา ตั้งคำถามว่าอะไรที่จะช่วยให้เจ้าหน้าที่แก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้เร็วขึ้น อะไรที่จะช่วยลดเวลาการรอของลูกค้าหรือทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นได้ แล้วต้องใช้เครื่องมืออะไรถึงจะได้ผล” Neal Mhaskar, Senior Technical Product Marketing Manager ของ Zendesk กล่าว ทว่าถึงแม้เป้าหมายจะเป็นการทลายการทำงานแบบไซโลชัดเจน ก็ควรระวังว่าไม่ได้อัดข้อมูลให้เจ้าหน้าที่จนเกินไป “บางทีการให้เจ้าหน้าที่เข้าถึงข้อมูลทุกอย่างก็ไม่ได้ช่วยให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ควรจะพิจารณาว่าอันไหนที่เป็นคำร้องที่พบบ่อย แล้วต้องใช้ข้อมูลไหนในการแก้ไขคำร้องนั้น” 3. เก็บข้อมูลทุกอย่างไว้ในที่เดียว ในเชิงเทคนิค...
Continue reading2 วิธี การจัดการอีเมลขยะ สำหรับผู้ที่ใช้งาน Gmail
วันนี้เรามี 2 วิธี การจัดการอีเมลขยะ สำหรับผู้ใช้งาน Gmail ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากผู้ใช้งานได้รับอีเมลที่มีเนื้อหาหลอกลวงเอาข้อมูลส่วนบุคคล เช่น รหัสผ่านหรือหมายเลขบัตรเครดิต อีกทั้งยืนยันไม่ได้ว่าอีเมลฉนับนี้ใครเป็นผู้ส่งมา หรือได้รับอีเมลที่มีลักษณะคล้ายกับของจริงมากจนเกือบแยกไม่ออก ผู้ใช้งานสามารถทำเครื่องหมายได้ว่า อีเมลฉบับนี้เป็นจดหมายขยะได้ นอกจากนี้ Gmail ยังสามารถระบุจดหมายขยะและอีเมลอื่น ๆ ที่มีแนวโน้มว่าจะไม่ปลอดภัยส่งไปยังกล่องจดหมายขยะได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งมีวิธีการจัดการดังนี้ 1 . ทำเครื่องหมายว่าอีเมลเป็นจดหมายขยะ จริง ๆ แล้ว เมื่อผู้ใช้งานได้รับจดหมายขยะมากขึ้น Gmail จะสามารถแจ้งเตือนได้อัตโนมัติว่าอีเมลฉบับนี้เป็นจดหมายขยะ เนื่องจากเกิดการเรียนรู้จากอีเมลฉบับก่อนหน้าที่มีเนื้อหาคล้ายกัน แต่ทั้งนี้ผู้ใช้งานสามารถคลิกรายงานจดหมายขยะได้เอง ตามขั้นตอนดังต่อไปนี้ เปิด Gmail เลือกอีเมลที่มีแนวโน้มจะเป็นจดหมายขยะอย่างน้อย 1 รายการ เลือกคลิกเพิ่มเติม คลิกรายงานจดหมายขยะ เคล็ดลับ: เมื่อผู้ใช้งานคลิกรายงานจดหมายขยะ หรือย้ายอีเมลไปยังโฟลเดอร์จดหมายขยะ ทาง Google จะได้รับสำเนาอีเมลและจะวิเคราะห์อีเมลดังกล่าว เพื่อปกป้องผู้ใช้จากจดหมายขยะและการละเมิดการใช้งาน 2. กรองอีเมลขยะ ให้มีการลบอีเมลอัตโนมัติ ผู้ใช้งาน Gmail สามารถจัดการอีเมลที่เข้ามาใหม่ได้ว่าเป็นจดหมายขยะโดยใช้ตัวกรองของ Gmail เพื่อเป็นการรายงานว่าเป็นจดหมายขยะ ซึ่งจะกรองให้ลบอีเมลฉบับดังกล่าวอัตโนมัติ ซึ่งผู้ใช้งานสามารถทำตามขั้นตอนด้านล่าง ดังต่อไปนี้ เปิด Gmail คลิกเพิ่มเติม คลิกกรองข้อความคล้ายแบบนี้ เพื่อเเสดงอีเมลทั้งหมดเลือกค้นหา ● การค้นหาจะเเสดงอีเมลที่มีเนื้อหาเดียวกันจากผู้ส่งรายเดียวกันนำมาเเสดงทั้งหม คลิกลูกศรลง ▾ คลิกสร้างตัวกรอง 7. เลือกลบทิ้ง 8. เลือกใช้ตัวกรองกับการสนทนา ทั้งหมดที่ตรงกับเงื่อนไขด้วย 9. คลิกสร้างตัวกรอง หมายเหตุ: ข้อความที่อยู่ในจดหมายขยะเเละข้อความที่อยู่ในถังขยะจะถูกระบบลบทิ้งโดยอัตโนมัติหากเกิน 30 วัน Google Workspace เพื่อการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ บริษัท ดีมีเตอร์ ไอซีที จำกัด ตัวแทนจำหน่าย Google Workspace ในประเทศไทย อย่างเป็นทางการ รายละเอียดแพ็กเกจและราคา Google Workspace 02 030 0066...