เตรียมตัวให้พร้อม Google ประกาศเปลี่ยนนโยบายพื้นที่จัดเก็บข้อมูล (New Google Storage Policies)

Google บริษัทที่ขึ้นชื่อเรื่องการพัฒนาเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานร่วมกันและเพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดแก่ผู้ใช้งานอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด! Google ได้ออกประกาศเปลี่ยนแปลงนโยบายการคิดพื้นที่จัดเก็บข้อมูลของ Google Photos, Docs, Sheets, Slides, Forms, Drawings และ Jamboard ให้มีการคิดพื้นที่ตามการใช้งานจริง จากเดิมที่ไม่มีการคิดพื้นที่หรือสามารถใช้พื้นที่ได้แบบไม่จำกัด เหตุใด Google จึงมีการปรับเปลี่ยน? ตลอดระยะเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมา ผลิตภัณฑ์หรือเครื่องมือของ Google ช่วยให้ผู้คนหลายพันล้านคนจากทั่วโลกสามารถเชื่อมต่อกันได้ทุกที่ทุกเวลาและทำงานได้จากทั่วทุกมุมโลก ทำให้ปัจจุบันผู้ใช้บริการในส่วนของ Gmail, Drive และ Google Photo มีการอัปโหลดและจัดเก็บเนื้อหาของไฟล์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอีเมล รูปภาพ วิดีโอ และอื่น ๆ มากกว่า 4.3 ล้าน GB ต่อวัน  Google จึงประกาศเปลี่ยนแปลงนโยบายพื้นที่เก็บข้อมูล (Google Storage Policies) เพื่อให้สามารถพัฒนาเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างปลอดภัย และให้ทันกับความต้องการของผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่มีขีดจำกัดในแต่ละวัน การเปลี่ยนแปลงมีผลบังคับใช้เมื่อไหร่? 1 มิถุนายน 2021 Google Photo เริ่มคิดพื้นที่รูปภาพคุณภาพสูง (High Quality) Google Photo บริการยอดฮิตจาก Google ที่ให้ผู้ใช้งานสามารถจัดเก็บรูปภาพทั้งแบบต้นฉบับ (Original quality) และรูปภาพคุณภาพสูง (High quality) ที่มีความละเอียดของไฟล์ภาพคมชัดถึง 16 ล้านพิกเซลได้โดยไม่จำกัดพื้นที่การใช้งาน (Unlimited)  แต่ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2021 เป็นต้นไป Google จะคิดพื้นที่การใช้งาน Google Photo ในส่วนของรูปภาพคุณภาพสูง (High quality) ตามการใช้งานจริง โดยรูปภาพที่ถูกจัดเก็บก่อนวันที่ 1 มิถุนายน 2021 จะไม่ถูกคิดพื้นที่ตามการใช้งานดังเดิม ขยายเวลาถึง 2 พฤษภาคม 2022 สำหรับการเริ่มคิดพื้นที่ตามการใช้งานจริงของ Docs, Sheets, Slides, Forms, Drawings...

Continue reading

Hybrid Working คืออะไร ? และ Google Workspace ตอบโจทย์ได้อย่างไร

เทรนการทำงานทั่วโลกกำลังจะเปลี่ยนไปหลังจากที่ทุกคนประสบวิกฤตที่เหมือนกันอย่างการแพร่ระบาดโควิด 19 ที่ ‘ออฟฟิศ’ นั้นไม่ใช่สถานที่ที่จำเป็นต้องเข้าไปทำงานอีกต่อไป หลายองค์กรใหญ่ ๆ ก็สามารถพิสูจน์ได้แล้วว่า ไม่ว่า ‘คน’ จะอยู่ที่ไหน ก็สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ   “Sundar Picha CEO ของ Google ได้ประกาศแนวทางการทำงานในปี 2021 โดยพนักงานสามารถเข้าออฟฟิศสัปดาห์ละ 3 วัน อีก 2 วันทำงานจากที่บ้าน หรือจะเลือกทำงานแบบรีโมท ไม่เข้าออฟฟิศอีกเลยก็ได้” Hybrid Working (การทำงานแบบไฮบริด) คือ การทำงานรูปแบบใหม่ในอนาคต โดยที่การทำงานไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศทุกวัน และทุกคนสามารถทำงานได้จากที่บ้านได้ อาจจะสัปดาห์ละ 2 วัน  Google Workspace ตอบโจทย์การทำงานแบบ Hybrid Working ได้อย่างไร ? Google Workspace เป็นเครื่องมือการทำงานร่วมกันได้อย่างเรียลไทม์ สามารถทำงานได้จากทุกที่ ทุกเวลา ข้อมูลซิงค์กัน และจัดเก็บบน Cloud โดยไม่ต้องกลัวลืมเซฟงาน ทำให้สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่อง เครื่องมือสื่อสารครบ ไม่ว่าจะเป็นการรับส่งอีเมลด้วย Gmail การนัดหมายไปยังทีมหรือเพื่อนร่วมงานด้วย Calendar การประชุมออนไลน์เสมือนนั่งประชุมในออฟฟิศด้วย Google Meet และการแชท 1:1 หรือกับทีม ด้วย Google Chat  การ Brainstorm ความคิดสร้างสรรค์ ด้วยเอกสารที่สามารถแชร์ได้แบบเรียลไทม์ ด้วย Google Docs, Sheets, Slides สามารถกำหนดสิทธิ์ในการเข้าถึงเอกสารได้ไม่ว่าจะเป็น Commenter, Viewer, Editor  การเก็บข้อมูลและเข้าถึงข้อมูล พร้อมความปลอดภัย 100% กับ Google Drive บอกลาแฟลชไดร์ฟแล้วเก็บข้อมูลบน Cloud ที่ไม่ว่าจะทำงานที่ออฟฟิศหรือที่บ้านก็เข้าถึงข้อมูลได้โดยไม่ต้องยกคอมกลับบ้าน  ทั้งหมดเป็นแค่ข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น Google Workspace ยังมีเครื่องมือและฟีเจอร์อีกมากมายที่พร้อมรองรับการทำงานในรูปแบบใหม่อย่าง Hybrid Working และสามารถตอบโจทย์การทำงานในอนาคตได้ ทำความรู้จักกับ Google...

Continue reading

ตอกย้ำความเป็น Workspace | Google Meet เข้าผ่านทาง Google Docs ได้แล้ว!

เพื่อความตอกย้ำความเป็น Workspace พื้นที่แห่งการทำงานอัจฉริยะ Google Meet สามารถเข้าผ่านทาง Google Docs ได้แล้ว รวมถึง Google Sheets และ Google Slides โดยจะเริ่มใช้งานได้ราว ๆ ต้นเดือนมิถุนายน  อย่างที่ Google Workspace เคยประกาศว่าจะสร้างอนาคตของการทำงาน (Build The Future of Work) จึงได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ที่ผู้ใช้งานจะได้รับประสบการณ์การทำงานร่วมกันมากขึ้น โดยที่สามารถนำเสนอเนื้อหาจาก Docs, Sheets, Slides ไปยัง Google Meet ได้โดยตรง เพียงแค่คลิกเดียวในหน้าเอกสาร ก็สามารถทำให้ทุก ๆ คนในห้อง Google Meet สามารถเห็นเนื้อหาไปพร้อมกันได้  ลักษณะการทำงานแบบนี้จะช่วยให้การทำงานร่วมกันง่ายขึ้นแม้ตัวจะอยู่คนละที่ โดยไม่ต้องสลับหน้าจอไปมา และช่วยให้การ Brainstorm นั้นง่ายขึ้น ถือได้ว่าเป็นการผสมผสานเครื่องมือสื่อสารอย่าง Google Meet และเครื่องมือการทำงานร่วมกัน เพื่อตอกย้ำความเป็นพื้นที่การทำงานในอนาคต และเพื่อประสบการณ์ในการทำงานที่ดีขึ้นกว่าที่เคย Google Workspace เพื่อการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ บริษัท ดีมีเตอร์ ไอซีที จำกัด ตัวแทนจำหน่าย Google Workspace ในประเทศไทย อย่างเป็นทางการ รายละเอียดแพ็กเกจ Google Workspace 02 030 0066...

ปฏิรูป! การสื่อสารยุคอนาคตด้วย Chatbot รูปแบบการทำงานแบบ Real-time

เมื่อพูดถึงประสบการณ์การบริการ (CX) ลูกค้ามักจะเลือกช่องทางการบริการที่ลูกค้าคุ้นเคย ใช้อยู่เป็นประจำ ไม่เป็นทางการมากนัก และที่สำคัญติดต่อได้รวดเร็วทันที ด้วยเหตุนี้การที่ธุรกิจจะติดต่อสื่อสารกับลูกค้าได้แบบ Real-time ทุกคนนั้น เป็นสิ่งที่ท้าทายและไม่ใช่เรื่องง่าย Chatbot (แชทบอท) จึงเป็นวิธีหนึ่งที่หลาย ๆ ธุรกิจเลือกนำเอามาใช้ในกระบวนการทำงานของทีม Customer Service & Support เพื่อตอบสนองความต้องการเบื้องต้นของลูกค้าที่กล่าวมาข้างต้น แล้ว Chatbot คืออะไร? Chatbot (แชทบอท) คือ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ชนิดหนึ่งที่มีคนเรียกกันว่า AI หรือ ปัญญาประดิษฐ์ ถูกออกแบบมาเพื่อใช้สนทนากับมนุษย์ สามารถทำงานอยู่บนเว็บไซต์และแอปพลิเคชันของคุณได้ จะแสดงเป็น Pop-up ในรูปแบบของ Messenger และ การส่งข้อความทาง Social Media ต่าง ๆ หลาย ๆ บริษัทใช้ Chatbot เป็นตัวช่วยในการขยายธุรกิจที่กำลังเติบโตขึ้น ถึงแม้ว่า Chatbot จะขาดการสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างธุรกิจกับลูกค้า แต่มันก็ยังเป็นเครื่องมือที่หลาย ๆ ธุรกิจให้ความสนใจ ดูได้จาก Google Keyword Planner โดยคำว่า Chatbot มียอด Search มากขึ้นเกิน 4,000 ครั้งในปี 2020 ที่ผ่านมา และมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในปี 2021 อย่าง Zendesk เองที่เป็นผู้นำในการให้บริการด้าน Customer Service & Support Software ก็ได้มองเห็นถึงเทรนด์ในการเติบโตของการใช้โปรแกรม Chatbot กับธุรกิจเช่นกัน จึงได้สร้างฟีเจอร์ที่ชื่อว่า Zendesk Messaging ที่ออกแบบมาให้ตอบโจทย์ทางด้านการบริการและซัพพอร์ตลูกค้ามากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการส่งข้อความตอบโต้อัตโนมัติ การเก็บข้อมูลลูกค้าเบื้องต้น รวมถึงการสนทนาเชิงรุกและนำเสนอสินค้าให้กับลูกค้าก็ทำได้ และที่สำคัญ Chatbot ทำงานได้ 24 ชั่วโมง (24/7) แปลว่าสามารถบริการลูกค้าได้แบบ Real-time ตลอดเวลา เพราะสถานการณ์ในตอนนี้เห็นได้ว่าผู้บริโภคและลูกค้าหันมาบริโภคและซื้อสินค้าบนช่องทางออนไลน์เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก ดังนั้น...

Continue reading

Top 5 Call Center Software ที่ดีที่สุดในโลกปี 2021 (จาก Users ตัวจริง)

หากจะพูดถึงการหาซอฟต์แวร์ Call Center Solution ดี ๆ สักตัว ไม่ว่าจะอัปเกรดจากอันเดิมที่ใช้อยู่หรือหาอันใหม่เพื่อให้ตอบโจทย์การใช้งานมากขึ้น สิ่งหลัก ๆ ที่ต้องพิจารณาที่หลายคนจะนึกถึงเป็นอันดับแรกก็คงไม่พ้นต้องติดตั้งง่าย เทคโนโลยีทันสมัย ปรับใช้แล้วก็เชื่อมกับ CRM ตัวอื่นที่ใช้งานอยู่ได้ ฟังดูเป็นมาตรฐานที่ Call Center Software ที่ดีควรจะมี ถึงอย่างนั้นด้วยความต้องการที่ต่างกันไปตามแต่ละองค์กร การจะหาซอฟต์แวร์ที่ถูกใจได้ก็ถือว่ายากเอาการอยู่เหมือนกัน ในบทความนี้ เราจึงได้ทำการรวบรวม Call Center Software ที่มีผลคะแนนและรีวิวจากผู้ใช้งานดีเยี่ยมมาให้ทุกคนได้ดูกัน สำหรับปี 2021 นี้จะมีซอฟต์แวร์ตัวไหนน่าสนใจกันบ้าง มาดูกันเลย 1. Zendesk Zendesk มาพร้อมกับระบบเสียงที่ทรงพลัง ตอบโจทย์ความพึงพอใจของทีม Call Center ยุคใหม่ ร่วมกับ Options ที่มีให้เลือกปรับแต่งได้มากมายไม่ว่าจะผ่านส่วนขยายหรือแอป  เหตุผลที่ User ชื่นชอบ Zendesk มอบประสบการณ์สนทนาที่หลากหลาย ติดตั้งแล้วใช้งานได้เลย มีระบบ Ticketing ที่แปลกใหม่ยอดเยี่ยม  สามารถเชื่อมกับ CRM ตัวอื่นหรือแอปตัวอื่นได้เพื่อต่อขยายการใช้งานให้ยืดหยุ่นหลากหลายยิ่งขึ้น ทำให้การทำงานร่วมกันเป็นเรื่องง่าย หัวหน้าสามารถเห็นภาพรวมทั้งหมดรวมถึงเข้ามาช่วยเหลือได้ ดังนั้นหากว่าคุณกำลังมองหาซอฟต์แวร์แบบ Out of the box ใช้งานได้ทันทีและนำไปปรับใช้ให้เข้ากับระบบการทำงานขององค์กร ไม่ว่าจะเป็นโจทย์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวหรือสลับซับซ้อนมากแค่ไหน Zendesk ก็ช่วยคุณได้ “เราต้องการระบบซัพพอร์ตที่ติดตั้งแล้วใช้งานได้ทันที ก็เลยย้ายจาก Salesforce มา Zendesk.. แล้วมันก็ใช้งานได้เลยจริง ๆ อย่างถ้าคุณเป็นผู้ใช้งานล่ะก็ คุณแค่ต้องพิจารณาดูฐานข้อมูลแล้วก็หาระบบที่จะเข้ากับธุรกิจมาปรับแต่งเพิ่มไปได้เลย” – Capterra review Zendesk ยังได้รับความนิยมล้นหลามในด้านของระบบ Ticket และ Automation ไม่ว่าจะเป็นฟังก์ชัน macros (กลุ่มคำสั่ง), triggers (เงื่อนไขคำสั่ง), ticket routing (ทางใบสั่ง) และ automated replies (ตอบกลับอัตโนมัติ) “ถ้ามองหาระบบ Ticket ล่ะก็ Zendesk...

Continue reading

Customer Service from Home แผนปรับ ‘บริการออนไลน์’ ท้าวิกฤตโควิด-19 ครั้งที่ 2

ในวันที่โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อมวลมนุษยชาติในทุกมิติ การใช้มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมหรือแม้แต่การขอความร่วมมือให้ทุกหน่วยงาน Work From Home อยู่บ้าน หยุดเชื้อ ช่วยชาติ ได้ก่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนชีวิตความเป็นอยู่ของทุกคน ถึงจุดนี้ที่เราต่างต้องยอมรับแล้วว่าวิกฤตครั้งนี้ได้เร่งกระแสต่าง ๆ ที่มีอยู่แล้วให้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วขึ้นในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน และการดำเนินธุรกิจรวมถึง ‘การบริการลูกค้า’ จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป คำถามคือ คุณพร้อมหรือยัง และพร้อมมากแค่ไหนที่จะตั้งรับความเปลี่ยนแปลงนี้ เมื่อการยึดติดกับแนวคิดหรือรูปแบบการบริการแบบเดิม ๆ ไม่สามารถช่วยให้ธุรกิจแข่งขันต่อไปได้ ก็ถึงเวลาสมควรแล้วที่จะต้องปรับเปลี่ยนมัน ถึงเวลาที่จะรวมทุกช่องทางติดต่อ เมื่อการมุ่งเน้นไปที่ช่องทางใดช่องทางหนึ่งไม่เพียงพออีกแล้วต่อการทำธุรกิจยุคนี้ ถึงเวลาที่ทุกข้อมูลจะต้องถูกจัดเก็บอย่างเป็นระบบ ไม่ให้ตกหล่นและมี Back Up อัตโนมัติ ถึงเวลาที่จะหยุดมุ่งเน้นที่สรรพคุณสินค้าเพียงอย่างเดียว เพราะอีกปัจจัยที่ขาดไม่ได้ก็คือการให้ความสำคัญกับลูกค้า ถึงเวลาที่การบริการและการซัพพอร์ตลูกค้าในทุกช่องทางจะต้องไม่แยกออกจากกัน ดังนั้นถึงเวลาแล้ว.. ที่จะปรับทุกการบริการให้เป็นแบบ ‘ออนไลน์’ ทำทุกอย่างให้เป็นระบบและบริการลูกค้าได้ทุกที่อย่างมืออาชีพ มาร่วมปรับทั้งหมดนี้ด้วยกันกับเรา กับงานสัมมนาออนไลน์ ‘Customer Service from Home แผนปรับบริการออนไลน์ท้าวิกฤตโควิด-19 ครั้งที่ 2’ โดยในงานสัมมนานี้เราจะพาให้คุณได้อัปเดตเทรนด์การบริการยุคใหม่ แนวโน้มเทคโนโลยีที่น่าสนใจที่กำลังมาแรงในตอนนี้ วิเคราะห์ความสำคัญของ Omnichannel พร้อมนำเสนอแนวทางปรับบริการออนไลน์ ให้ธุรกิจเชื่อมถึงกันอยู่เสมอผ่านเครื่องมือบริการลูกค้าระดับโลกอย่าง Zendesk รับมือกับทุกความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นและดำเนินต่อไปได้อย่างยั่งยืน ลงทะเบียน สิ่งที่คุณจะได้รับจากการเข้าร่วม เข้าใจผลกระทบของโควิด-19 ที่มีต่อการบริการลูกค้า เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างไรบ้าง อัปเดตเทรนด์การบริการ แนวโน้มเทคโนโลยีที่น่าสนใจ  Self-service, Chat Bot, Messaging สำคัญอย่างไร คุ้มค่าแค่ไหนที่จะลงทุน เผยแนวทางการบริการให้ตอบโจทย์ลูกค้ายุคใหม่ วิเคราะห์ Omnichannel กับการยกระดับการบริการ จำเป็นแค่ไหนสำหรับการทำธุรกิจยุคนี้ คำแนะนำในการเลือกเครื่องมือและตัวช่วยที่เหมาะสม Agenda 19:30 – 19:40 Opening & Welcoming Speech 19:40 – 20:00 How has COVID-19 Accelerated Trends in Customer Service?  เข้าใจผลกระทบของโควิด-19 ที่มีต่อการบริการลูกค้า เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างไรบ้าง อัปเดตเทรนด์การบริการ แนวโน้มเทคโนโลยีที่น่าสนใจ Self-service, Chat...

Continue reading

16 ทักษะสำคัญ ที่ทีม Customer Service & Support ควรมี! มีอะไรบ้าง?

ผลกระทบจาก Covid-19 เป็นสิ่งที่บ่งบอกได้ชัดเจนที่สุดว่า ยุคดิจิทัลได้เข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันของทุกคนอย่างแท้จริงแล้ว เพราะลูกค้าออนไลน์ที่มากขึ้นกว่าเดิม บทบาทของทีมบริการและซัพพอร์ตลูกค้า หรือ Customer Service & Support จึงเป็นศูนย์กลางของธุรกิจในปัจจุบัน โดย ผลสำรวจ จาก Zendesk ผู้นำทางด้าน Customer Service & Support Software ระดับโลก พบว่า ลูกค้ามากกว่า 77% จะภักดีต่อแบรนด์ที่มอบประสบการณ์ที่ดี (CX) ให้กับลูกค้าและช่วยเหลือหากพวกเขาเจอปัญหาต้องการความช่วยเหลือ ยิ่งไปกว่านั้นกว่า 80% จะย้ายแบรนด์ไปหาคู่แข่งทันทีหากได้รับประสบการณ์และบริการที่แย่มากกว่า 1 ครั้ง มันบ่งบอกถึงความสำคัญของทีม Customer Service & Support เลยว่าเราไม่ควรมองข้ามมันไป การที่เราจะมอบประสบการณ์ที่ดี (CX) ให้กับลูกค้าได้นั้น เราต้องมีระบบการบริการลูกค้าที่ดีก่อน ซึ่งการบริการลูกค้าที่ดีนั้น คือ การผสมผสานระหว่างทักษะของทีมบริการที่เหมาะสมและเครื่องมือที่เข้าใจความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง ซึ่งวันนี้เราจะนำ 16 ทักษะ ที่ทีมบริการและซัพพอร์ตลูกค้าควรจะต้องมี เพื่อส่งเสริมให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น 1. Empathy หรือ ความเอาใจใส่ ความเอาใจใส่เป็นทักษะที่จำเป็นต้องมีสำหรับทีม Customer Support ซึ่งมีค่ามากกว่าประสบการณ์การบริการลูกค้าซะอีก ยิ่งในตอนนี้ที่มีโรคระบาด Covid-19 ความเอาใจใส่และให้ความสำคัญกับลูกค้าถือเป็นสิ่งที่ดีมาก “ ในปี 2021 เราต้องมองเห็นสิ่งที่ลูกค้าคาดหวัง บริษัทต่าง ๆ ยังคงต้องมีความเอาใจใส่และความยืดหยุ่นมากกว่าที่เคยเป็นในอดีต ” Ben Motteram Principal and CX Expert 2. Collaboration Skills หรือ ทักษะการทำงานร่วมกัน ทีม Customer Service & Support มักจะต้องทำงานร่วมกับทีมอื่น ๆ อยู่เสมอเพื่อให้งานสำเร็จลุล่วง ดังนั้นทักษะในการทำงานร่วมกันจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งในยุคปัจจุบันที่มีความห่างไกลกันมากขึ้น เช่น การ Work From Home เครื่องมืออย่าง Zendesk...

Continue reading

เปิดเคล็ดลับ Work From Home อย่างไร? Stay Connected ดี Work-Life Balance เยี่ยม

ทราบหรือไม่? หลังจากวิกฤตโรคระบาดที่ผ่านมาถึงสองปีนี้ จากการสำรวจพบว่ามี 83% ขององค์กรที่คิดว่าตนประสบความสำเร็จในการทำงานแบบรีโมทหรือทำงานทางไกล 99% ของพนักงานอยากที่จะ Work From Home อย่างน้อยตามโอกาสบางครั้งหรือตลอดชีวิต และ 68% ขององค์กรที่คิดว่าการทำงานทางไกลยิ่งผ่านไปก็ยิ่งเป็นเรื่องง่ายขึ้น ถึงขั้นที่ว่ามี 26.7% ที่เชื่อว่าแม้ในปีหน้าทีมก็จะยังทำงานทางไกลแบบเต็มเวลาอยู่ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการ Work From Home ได้เข้ามาเป็นอีกหนึ่งความปกติในช่วงเวลานี้ไปแล้ว กระทั่งในอนาคตข้างหน้าเองมันก็จะยังไม่หายไปไหน หากแต่ในขณะเดียวกันการทำงานทางไกลก็ใช่จะไม่มีอุปสรรคอะไรเลย ในบทความนี้ เราจะมาดูข้อดี-ข้อเสียของ Work From Home รวมถึงข้อแนะนำจาก Zendesk ในการแก้อุปสรรคที่ว่านี้กัน ข้อดีของ Work From Home 1. ให้ความยืดหยุ่น จากการสำรวจของ Buffer พบว่า ในบรรดาผลประโยชน์ทั้งหมดของ Work From Home หัวข้อที่พนักงานลงความเห็นว่าเป็นข้อดีสูงที่สุดก็คือความยืดหยุ่น ไม่ว่าจะเป็นด้านการจัดสรรเวลาหรือการทำกิจกรรมต่าง ๆ การทำงานทางไกล (Remote Working) หรือการทำงานจากที่บ้าน (Work From Home) ช่วยให้พนักงานมีเวลาทำสิ่งอื่น ๆ ในชีวิตประจำวันมากขึ้น ไม่ต้องเสียเวลาแต่งหน้าทำผม ออกไปฝ่าการจราจรที่ติดขัดยามเช้าและยังสามารถจัดสรรสภาพแวดล้อมตอนทำงานได้ตามใจ อาจจะเปิดเพลงขณะทำงานคลอตามไปด้วยหรือตอบอีเมลทั้งที่มีแมวนอนบนตักก็สามารถทำได้ ในส่วนขององค์กรเองก็ได้ประโยชน์จากความยืดหยุ่นจากการทำงานทางไกลเช่นกัน เมื่อมีความยืดหยุ่นด้านการจัดสรรเวลามากขึ้น พนักงานก็มีแนวโน้มจะมีสมาธิในการทำงานในช่วงเวลาที่ตนถนัดมากที่สุด จากการวิจัยของ Prodoscore ยังพบว่าพนักงานจะทำงานได้มีประสิทธิภาพมากที่สุดในวันอังคาร พุธ พฤหัส ตามลำดับ 2. เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ Prodoscore ยังสรุปผลการวิจัยได้อีกว่าพนักงานที่ทำงานทางไกล มีประสิทธิภาพในการทำงานสูงกว่าที่ทำตอนอยู่ในออฟฟิศเสียอีก ข้อสรุปนี้สอดคล้องกับผลการสำรวจของ Airtasker ที่ว่าพนักงานสามารถประหยัดเวลาได้เฉลี่ยถึง 8.5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์จากการเดินทางไปบริษัท และพนักงานที่ทำงานทางไกลจะทำงานมากกว่าพนักงานที่ประจำอยู่ออฟฟิศเฉลี่ย 1.4 วันต่อเดือน หรือกล่าวได้ว่าพนักงานที่ทำงานทางไกล มีแนวโน้มจะประหยัดเวลาที่ใช้เดินทางมาใช้ในการทำงานให้ได้นานมากยิ่งขึ้น การทำงานทางไกลยังช่วยลดข้อขัดแย้งของพนักงานในบริษัทและช่วยให้พนักงานฟุ้งซ่านน้อยลงได้อีกด้วย ซึ่งจากการศึกษาของ UC Irvine พบว่าพนักงานมักใช้เวลาเฉลี่ย 23 นาที 15 วินาที หลังถูกทำให้เสียสมาธิ ในการกลับมาโฟกัสที่งานอีกครั้ง ไม่เพียงเท่านั้น จากรายงานของ...

Continue reading

วิธีตั้งวันหมดอายุในการเข้าถึงไฟล์เมื่อแชร์บน Google Drive

Google Drive มีฟีเจอร์หลัก คือ สามารถแชร์ไฟล์และกำหนดสิทธ์ในการเข้าถึงเอกสารได้ แต่รู้หรือไม่ว่าหากเป็นบัญชีของ Google Workspace คุณสามารถกำหนดวันหมดอายุในการเข้าถึงไฟล์ได้ ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่บัญชีแบบ Gmail ธรรมดาไม่มี  วิธีตั้งวันหมดอายุใน Google Drive เปิด Google Drive ขึ้นมา คลิกขวาที่ไฟล์หรือโฟลเดอร์ที่ต้องการจะแชร์ จากนั้นคลิก Share   2. เพิ่มที่อยู่อีเมลของเพื่อนร่วมงาน จากนั้นคลิก Send    3. จากนั้นคลิกขวาที่ไฟล์หรือโฟลเดอร์ และคลิก Share อีกครั้ง   4. แก้ไขสิทธิ์เข้าถึงที่อยู่ข้างหลังอีเมลเพื่อนร่วมงาน จากนั้นเลือก Give Temporary Access    5. จากนั้นกำหนดวันและเวลาที่จะสิ้นสุดการให้เข้าถึงไฟล์หรือโฟลเดอร์ และกด Done 6. เพียงเท่านี้ก็เสร็จสิ้น ซึ่งเมื่อเลยวันที่กำหนดไว้ บุคคลนั้นจะไม่สามารถเข้าถึงไฟล์หรือโฟลเดอร์ได้ เหมาะสำหรับใช้กับทีมชั่วคราว พนักงานสัญญาจ้างชั่วคราว หรือนักศึกษาฝึกงาน Google Workspace เพื่อการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ บริษัท ดีมีเตอร์ ไอซีที จำกัด ตัวแทนจำหน่าย Google Workspace ในประเทศไทย อย่างเป็นทางการ รายละเอียดแพ็กเกจ Google Workspace 02 030 0066...