ไขคำตอบ Zendesk ช่วยแก้ Pain Point อะไรได้บ้าง?

Pain Point หรือ จุดเจ็บปวด เป็นภาษาที่เรียกกันในเชิงการตลาดสำหรับปัญหาที่ลูกค้าพบเจอจากสาเหตุบางอย่างที่ทำให้เกิดความรู้สึกด้านลบ หรือทำให้ใช้ชีวิตลำบากมากขึ้น หากเปรียบเทียบ Pain Point กับเป้าหมายของหลายองค์กรที่ต้องการให้ลูกค้ารู้สึกดีกับแบรนด์ของตนล่ะก็ จะกล่าวว่า Pain Point เป็นตัวอุปสรรคที่ตรงข้ามกับการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของแบรนด์เลยก็ไม่ผิดนัก สำหรับบทความนี้ เรามาเจาะลึก Pain Point การบริการลูกค้าทั้งในแง่มุมของเจ้าของธุรกิจและในมุมของการสร้างประสบการณ์ลูกค้า (Customer Experience) และ Zendesk ช่วยอะไรได้บ้างกัน Pain Point ในมุมเจ้าของธุรกิจ 1. ลูกค้าไม่พอใจในการรับบริการ หาวิธีทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ (Customer Retention) ยาก ตอบ  Zendesk เป็นเครื่องมือ Customer Service Software ที่ช่วยให้ฝ่ายบริการลูกค้าทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ติดตามและส่งต่องานในองค์กร ในมุมลูกค้าเองก็ได้รับบริการที่รวดเร็ว ไม่ตกหล่นและมีความประทับใจที่ดีต่อแบรนด์ 86% ของลูกค้ายินยอมใช้จ่ายเพิ่มขึ้น หากว่าแลกมาด้วยประสบการณ์ที่ดีขึ้นกว่าเดิม 2. ธุรกิจมีหลายช่องทางในการติดต่อกับลูกค้า ทำให้ต้องใช้พนักงานในการดูแลเยอะขึ้น ต้นทุนการบริการจึงสูงขึ้นตามไปด้วย ตอบ  Zendesk สามารถรวมการติดต่อสื่อสารของลูกค้าในทุกช่องทางเข้ามาที่จุดเดียว ช่วยลดงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ เช่น การที่ต้องคอยเฝ้าหน้าจอหรือส่งงานแบบไม่เป็นระบบ เก็บข้อมูลไม่ได้ และเพราะทุกอย่างสามารถทำได้ในหน้าจอเดียว องค์กรจึงไม่จำเป็นต้องเพิ่มพนักงานก็ให้การบริการที่ดีขึ้นได้ 3. ไม่มีข้อมูลในการบริหารจัดการเรื่องการบริการลูกค้า ไม่รู้ว่าลูกค้ามีความพึงพอใจมากน้อยแค่ไหน การบริการในการตอบคำถามใช้เวลานานเกินไปหรือไม่ หรือจำนวนเจ้าหน้าที่ให้บริการเพียงพอหรือเปล่า ตอบ  Zendesk ช่วยจัดทำข้อมูลการให้บริการลูกค้าในมุมต่าง ๆ วิเคราะห์ผลการให้บริการ ปรับขยายตามความต้องการขององค์กร 4. ไม่มีข้อมูลในด้าน Feedback ของลูกค้า เช่น ไม่ทราบว่าลูกค้าร้องเรียนหรือสอบถามเรื่องอะไรมากน้อยแค่ไหน ควรจะปรับปรุงสินค้าหรือบริการอย่างไรให้เหมาะสม ตอบ  Zendesk ช่วยเก็บทุกข้อมูลของลูกค้าอย่างครบถ้วน ทำให้องค์กรรู้จักลูกค้าได้มากขึ้นและสามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ในการปรับปรุงสินค้าหรือบริการได้ Pain Point ในมุมของการสร้างประสบการณ์ลูกค้า 1. ลูกค้าต้องเล่าปัญหาซ้ำ ๆ เพราะเจ้าหน้าที่ขาดการประสานงานกัน ตอบ  Zendesk รวมทุกช่องทางติดต่อลูกค้าเข้ามาที่จุดเดียว ไม่ว่าลูกค้าจะเข้ามาจากช่องทางไหนก็สามารถเห็นข้อมูลของลูกค้า ประวัติและรายละเอียดการติดต่อได้ เจ้าหน้าที่สามารถแบ่งงานหรือช่วยเหลือกันในการบริการลูกค้า ไม่ต้องให้ลูกค้าต้องเล่าปัญหาซ้ำ ๆ เมื่อเปลี่ยนช่องทางการติดต่ออีกต่อไป 2. ลูกค้าได้รับบริการที่ตกหล่น...

Continue reading

10 ไฮไลต์กิจกรรมใน Google Workspace Next ’21 ที่คุณไม่ควรพลาด!

10 ไฮไลต์กิจกรรมใน Google Workspace Next ’21 ที่คุณไม่ควรพลาด! นับเวลาถอยหลังอีกไม่ถึง 2 สัปดาห์กับการเปิดตัว Google Cloud Next ในวันที่ 12-14 ตุลาคม 2564 ซึ่งงานนี้ได้รวบรวมข้อมูลเชิงลึกของเหล่าชุมชน Cloud มีการเปิดตัวผลิตภัณท์และถ่ายทอดวิธีการทำงานของเทคโนโลยีล่าสุดจาก Google Cloud ที่งาน Next’21 คุณจะได้พบกับเครื่องมือและการฝึกอบรมที่จะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จกับการใช้ระบบ Cloud โดยผ่านการถ่ายทอดสด มีการถาม-ตอบข้อสงสัยกับผู้เชี่ยวชาญโดยตรง นอกจากนี้ยังมีการสาธิตตัวเดโม่และกรณีศึกษาการใช้งานจริงของ Google Cloud และ Google Workspace คุณสามารถติดตามรายการกิจกรรมทั้งหมดและสร้างรายการโปรดที่คุณสนใจได้ด้วยตัวเอง ดั้งนั้นอย่าลืมที่จะตั้งค่าแจ้งเตือนความจำในปฏิทินของคุณ เพื่อที่คุณจะไม่พลาดกิจกรรมดีๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น ในงาน Google Cloud Next นี้มีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย และเราได้ยก 10 ไฮไลต์กิจกรรมสุดพิเศษจาก Google Workspace ที่เราคัดสรรมาแล้วว่าเป็นกิจกรรมที่คุณไม่ควรพลาด ดังต่อไปนี้ วิธีการใช้ Google Workspace ให้ประสบความสำเร็จ Javier Soltero รองประธานและผู้จัดการทั่วไปของ Google Workspace จะเข้าร่วมพูดคุยเรื่องนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ล่าสุดและที่กำลังจะมีขึ้นเพื่อช่วยให้ลูกค้าเปลี่ยนรูปแบบการทำงานร่วมกันทั้งภายในและภายนอกเพื่อให้องค์กรทุกขนาดสามารถดำเนินการต่อไปได้อย่างไร ถาม-ตอบเกี่ยวกับ Google Workspace มีการโต้ตอบเพื่อเจาะลึกเกี่ยวกับบริการ ผลิตภัณฑ์ และโซลูชันกับผู้นำและผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิคจาก Google Workspace ได้แก่   Javier Soltero รองประธานและผู้จัดการทั่วไป, Kady Dundas ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์, Matthew Izatt ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ และ Erika Trautman ผู้อำนวยการฝ่ายจัดการผลิตภัณฑ์ การสาธิตตัวเดโม่ และสิ่งใหม่ๆใน Google Workspace Erika Trautman ผู้อำนวยการฝ่ายการจัดการผลิตภัณฑ์ และ Matthew Izatt ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ จะทำการสาธิตแบบอินเทอร์แอกทีฟในการทำงานของนวัตกรรมล่าสุดของ Google Workspace รวมถึงประสบการณ์ใหม่ที่ช่วยให้ผู้คนเชื่อมต่อ สร้าง...

Continue reading
วิธีใช้ Google Forms

5 STEPs มือใหม่หัดใช้ Google Forms

Google Forms บริการสร้างแบบสอบถามออนไลน์สุดง่ายจาก Google Workspace ที่จะทำให้การเก็บข้อมูลบนแผ่นกระดาษไม่จำเป็นอีกต่อไป “จะดีกว่าไหมถ้าสามารถสร้างแบบสอบถามออนไลน์ได้ทุกที่ ทุกเวลา แถมไม่ต้องเหนื่อยเดินทางแจกแบบสอบถามอีกด้วย?” 5 Steps มือใหม่หัดใช้ Google Forms สร้างสุดง่ายเสร็จภายในไม่กี่คลิก 1. เสิร์ช Google forms แล้วกดสร้างเอกสารที่ Blank หรือ ไอคอน +  2. พิมพ์หัวข้อ คำถาม หรือเนื้อหาที่ต้องการลงไป โดยมีช้อยส์ให้เลือกหลากหลายไม่ว่าจะเป็น Text, Multiple choice, Checkboxes, Dropdown, Scale, Grid, หรือแม้กระทั่งวันและเวลา อีกทั้งยังสามารถเพิ่มรูปภาพหรือวิดีโอในคำถามได้ รวมไปถึงการสร้างคำถามใหม่และแยก Section โดยฟังก์ชันเหล่านี้จะอยู่ทางด้านขวาของหน้าจอแสดงผล 3. ท่านสามารถเปิดปุ่ม Required ด้านขวาล่างได้หากไม่ต้องการให้ผู้ทำแบบสอบถามข้ามคำถามข้อนั้นๆ 4. หากต้องการเปลี่ยนสี เปลี่ยนฟอนต์ ของแบบสอบถาม สามารถเลือกได้ที่แท็บด้านบนของ Google Forms 5. หากท่านต้องการแชร์ให้ผู้อื่นทำแบบสอบถาม ให้กดปุ่มส่ง (Send)  ด้านขวาบน โดยท่านสามารถแชร์ผ่านอีเมลหรือแชร์ผ่านลิงก์ก็ได้เช่นกัน Google Forms ไม่ได้มีดีแค่สร้างแบบสอบถามเท่านั้น แต่ท่านยังสามารถนำข้อมูลที่ได้มาใช้วางแผนการทำงาน ลงคะแนนเสียง สอบถามความเห็น และเก็บข้อมูลผู้ทำแบบสอบถามเพื่อมาใช้พัฒนาและต่อยอดธุรกิจของท่าน  และเพื่อให้ตอบโจทย์แก่ผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้น Google Forms จึงถูกออกแบบมาให้แสดงผลเป็นกราฟเพื่อให้ง่ายต่อการอ่านข้อมูล ทั้งนี้ ท่านยังสามารถดาวน์โหลดข้อมูลลงอุปกรณ์ของท่านได้อีกด้วย สำหรับการดึงข้อมูลมาใช้นั้นก็ง่ายแสนง่าย เพียงแค่กด Responses ข้อมูลเชิงกราฟก็จะแสดงผลทันที ว่ามีผู้ทำแบบสอบถามจำนวนเท่าไหร่ แต่ละข้อคำตอบเป็นอย่างไร และหากท่านต้องการข้อมูลดิบ ก็เพียงแค่กดปุ่มดาวน์โหลดแล้วนำข้อมูลมาใช้ได้เลย จะเห็นได้ว่าเพียงไม่กี่คลิก ท่านก็สามารถสร้างแบบสอบถามด้วยตัวเองได้ ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหน ก็สามารถทำงานได้สะดวก รวดเร็ว เพียงแค่มีอินเทอร์เน็ต Google Forms เป็นเพียงหนึ่งแอปพลิเคชันจาก Google Workspace เท่านั้น ยังมีอีกหลากหลายแอปพลิเคชันให้ท่านได้เข้าไปใช้งาน เช่น Google Document, Google Sheets, Google Slides,...

Continue reading

ข้อมูลเยอะแค่ไหนก็หาเจอ! ด้วยฟีเจอร์ Searching จาก Zendesk

รู้หรือไม่? ตอนนี้ Zendesk Agent Workspace มีฟีเจอร์ค้นหาข้อมูลลูกค้าที่ติดต่อมาด้วยการสนทนาสด (Live chat) และการสนทนาแบบข้อความ (Messaging Conversations) ได้แล้ว! เนื่องด้วยหลาย ๆ บริษัทมีจำนวนลูกค้าที่มากขึ้น ส่งผลให้จำนวน Tickets ที่เข้ามานั้นมากขึ้นตามไปด้วย Zendesk จึงมองหาโซลูชันในการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและประสบการณ์ของตัวแทน (Agent Experience) ด้วยการสร้างช่อง Search ขึ้นมา โดยที่ตัวแทน (Agent) สามารถพิมพ์ข้อความ เลข Ticket หรือคีย์เวิร์ดที่ต้องการหาได้ แล้วข้อมูลของลูกค้าก็จะปรากฏขึ้นมาทันที โดยที่ไม่ต้องเลื่อนขุดหาให้เสียเวลา รายละเอียดจะเป็นอย่างไร ไปดูวิธีการโดยละเอียดให้เห็นภาพชัด ๆ กันเลย 1. เริ่มกันด้วยการเปิดเข้าไปที่หน้าจอของ Zendesk Agent Workspace 2. คลิกไอคอนที่เป็นรูปแว่นขยายเพื่อค้นหา Ticket ที่ต้องการ 3. ป้อนคำที่ต้องการจะค้นหา โดยสามารถใส่ส่วนใดส่วนหนึ่งของสิ่งที่คุณต้องการจะค้นหาได้เลย สำหรับข้อความหรือ Ticket ที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ อาจจะต้องใช้เวลาประมาณ 10-12 นาที เพื่อให้ระบบได้เก็บข้อมูลเกี่ยวกับบทสนทนาอย่างสมบูรณ์และพร้อมสำหรับการค้นหา 4. กดปุ่ม Enter แล้วรายการคำที่คุณค้นหาก็จะปรากฏขึ้นมา โดยที่คุณสามารถนำเมาส์ไปวางหรือชี้ Ticket ที่คุณต้องการ ข้อมูลและรายละเอียดเบื้องต้นของ Ticket นั้นก็จะขึ้นมาทันทีดังรูป นี่เป็นเพียงฟีเจอร์หนึ่งของ Zendesk เท่านั้น ยังมีฟีเจอร์อีกมากมายที่จะช่วยให้การบริการและซัพพอร์ตลูกค้า (Customer Service & Support) เป็นเรื่องง่าย พร้อมมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า (Customer Experience) และผู้ใช้งาน Zendesk เองอีกด้วย สามารถทดลองใช้ Zendesk ฟรี! ได้ ที่นี่ แหล่งที่มา: support.zendesk.com ทดลองใช้ Zendesk trial ฟรี สอบถาม ราคา Zendesk ติดต่อ บริษัท ดีมีเตอร์ ไอซีที จำกัด ผู้ให้บริการระบบ Zendesk...

Continue reading

รู้จัก Zendesk Marketplace ตลาดนัดที่รวมซอฟต์แวร์ยอดฮิตกว่าพันซอฟต์แวร์ (แถมยังฟรี!)

77% ของลูกค้า ลงความเห็นว่าจะมีความภักดีหรือเชื่อมั่นต่อแบรนด์สูง หากว่าแบรนด์นั้นสามารถส่งมอบการบริการชั้นยอดให้กับตนได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า หากเจ้าหน้าที่สามารถส่งมอบประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมให้กับลูกค้าได้ล่ะก็ ลูกค้าก็วางใจอยากจะใช้บริการต่อ หรืออยากจะสานสัมพันธ์ทางธุรกิจต่อได้ด้วยเช่นเดียวกัน ในการที่จะสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่ยอดเยี่ยม ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเรื่องของเครื่องมือก็เป็นส่วนสำคัญไม่แพ้กัน และมันก็เป็นเพราะเหตุนี้เองที่ Zendesk ซอฟต์แวร์บริการลูกค้าชั้นนำของโลกได้คิดค้น ‘Zendesk Marketplace’ ขึ้นมา Zendesk Marketplace คืออะไร? Zendesk Marketplace คือ ร้านค้าครบวงจรสำหรับการตามหาพาร์ทเนอร์ แอป และเครื่องมือส่วนขยายต่าง ๆ ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเจ้าหน้าที่ เพิ่มความคล่องตัวในการทำงาน และช่วยสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าได้มากขึ้น ปัจจุบัน Zendesk Marketplace มีแอปและส่วนขยายเพิ่มเติมทั้งหมดมากกว่า 1,200 ตัว มีทั้งแบบที่สามารถติดตั้งได้ฟรีและเสียเงิน สำหรับบทความนี้นอกจากแนะนำให้รู้จัก Zendesk Marketplace แล้ว เรามาดูตัวอย่างเครื่องมือคร่าว ๆ ของตลาดนัดแห่งนี้กัน โดยรวมสามารถแบ่งกลุ่มเครื่องมือได้ทั้งหมด 6 กลุ่ม 1. กลุ่มที่เน้นสร้างประสบการณ์ (CX) จากข้อมูลลูกค้า ข้อมูลที่กระจัดกระจายไม่เชื่อมต่อกัน ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องเสียเวลาเสาะหาข้อมูลที่ใช่ในการบริการลูกค้า ในทางกลับกันหากว่าเจ้าหน้าที่มีทุกข้อมูลที่ต้องการอยู่ก่อนแล้ว ทุกอย่างก็จะง่ายดายขึ้น สำหรับเครื่องมือในกลุ่มนี้จึงเน้นไปที่การทำให้เจ้าหน้าที่ได้เห็นภาพรวมของลูกค้าไม่ว่าจะจากช่องทางไหนก็ตาม ลดภาวะข้อมูลไซโล (Silo) ลดการทำงานซ้ำซ้อน และช่วยให้ธุรกิจขับเคลื่อนไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างของเครื่องมือยอดฮิตในกลุ่มนี้ Mailchimp: เครื่องมือที่รวมข้อมูลลูกค้าและช่องทางการตลาดต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เจ้าหน้าที่สามารถดูทุกปฏิสัมพันธ์ของลูกค้าในที่เดียว และสร้างลิสต์สำหรับส่งอีเมลเชิงรุกหากลุ่มลูกค้าเป้าหมาย Klaviyo: เครื่องมือบริหารจัดการวงจรการตลาดของลูกค้า ผสานรวมเข้ากับข้อมูลสนับสนุนที่มีเพื่อช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถระบุลูกค้าที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย Salesforce: ผสานรวมข้อมูลจากสองทางทั้งการขายและการบริการ เจ้าหน้าที่ฝ่ายขายสามารถติดตามดีลขณะประสานงานกับฝ่ายซัพพอร์ต มอบประสบการณ์สนทนากับลูกค้าให้ดีขึ้นได้ด้วยข้อมูลที่เชื่อมต่อกัน 2. กลุ่มเครื่องมือเพื่อช่วยในการทำงานร่วมกัน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม เมื่อการทำงานแบบรีโมทหรือการทำงานทางไกลกลายเป็น New Normal ไปแล้วในยุคนี้ สิ่งสำคัญคือทำอย่างไรให้องค์กรยังคงทำงานร่วมกันต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพในสภาวะที่พนักงานต้องอยู่ไกลกัน เครื่องมือในกลุ่มนี้จะเน้นไปยังการทำงานร่วมกัน สามารถแบ่งปันความรู้และเข้าถึงการสนับสนุนในช่วงเวลาที่ต้องการได้ ตัวอย่างของเครื่องมือยอดฮิตในกลุ่มนี้ Zoom: เครื่องมือช่วยให้การประชุมทางไกลเป็นเรื่องง่าย สามารถบันทึกการประชุม ไม่ตกหล่นในเนื้อหาการสนทนา Atlassian: อีกเครื่องมือที่ทรงประสิทธิภาพในการทำงานร่วมกัน ประสานรวมกับเครื่องมืออื่นอย่าง JIRA, Trello, Statuspage หรือ Opsgenie เพื่อให้ทีมสนับสนุน ทีมวิศวกรและทีมอื่น ๆ...

Continue reading

เปิดตัว Time Insights ฟีเจอร์ใหม่ใน Google Calendar เจาะลึกเวลาทำงานและประชุม

Time Insights เป็นฟีเจอร์ที่ทาง Google Calendar พัฒนาขึ้นมาเพื่อช่วยแก้ปัญหาให้เหล่าคนทำงานที่ใช้ Google Calendar สร้างนัดการประชุม (Meeting) สามารถวิเคราะห์ได้ว่าในแต่ละสัปดาห์หรือแต่ละเดือน คุณใช้เวลาการประชุมไปมากน้อยเท่าไร เพื่อเป็นแนวทางวางแผนจัดเวลาการทำงานอย่างเป็นระบบ ด้วยสถานการณ์การทำงานที่เปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่ปีที่แล้ว ทำให้ผู้คนต้องประชุมออนไลน์เยอะมากขึ้น และอาจส่งผลให้รู้สึกควบคุมและจัดการเวลาการทำงานได้น้อยลง Time Insights จึงเข้ามาช่วยในการจัดการเวลาในการทำงานให้ดีขึ้น โดยแสดงข้อมูลเกี่ยวกับเวลาการทำงานและประชุมบนปฏิทิน ซึ่งจะแสดงข้อมูลดังนี้ Time breakdown คือฟีเจอร์ที่จะแยกเวลาทำงานและประเภทของการประชุมของคุณบนปฏิทิน Time In Meeting คือฟีเจอร์ที่แสดงภาพรวมการใช้เวลาประชุมของแต่ละวัน ช่วยให้คุณเห็นว่าในแต่ละวันของสัปดาห์นั้น ๆ คุณใช้เวลาประชุมเป็นเวลานานเท่าไร , วันไหนของสัปดาห์ที่เป็นวันที่คุณงานยุ่งที่สุด, ในแต่ละสัปดาห์ของเดือนนั้น คุณใช้เวลาในการประชุมไปมาก-น้อยเท่าไร (วิเคราะห์ได้ทั้งเวลาทั้งหมดและเวลาเฉลี่ย) People you meet with คือฟีเจอร์ย่อยใน Time Insights ที่ช่วยทำให้คุณเห็นว่าในตลอดสัปดาห์, หรือ เดือนนั้น ๆ ใครเป็นคนที่คุณประชุม (Meeting) ด้วยเยอะที่สุดและใช้เวลาในการประชุมร่วมกับคน ๆ นั้นไปเป็นเวลาเท่าไร ช่วยให้คุณจัดลำดับความสำคัญของการประชุมในแต่ละครั้งและประเมินสถานการณ์การประชุมในแต่ละเดือนได้  แพ็กเกจที่สามารถใช้งานได้ :  Google Workspace Business Standard, Business Plus, Enterprise Standard, Enterprise Plus, Education Plus และ Nonprofits customers  เพิ่มเติม :  วิธีเปิดหรือปิดข้อมูลเชิงลึกด้านเวลาให้กับผู้ใช้ ดูว่าคุณใช้เวลาไปกับการประชุมอย่างไร Google Workspace เพื่อการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ บริษัท ดีมีเตอร์ ไอซีที จำกัด ตัวแทนจำหน่าย Google Workspace ในประเทศไทย อย่างเป็นทางการ รายละเอียดแพ็กเกจและราคา Google Workspace 02 030 0066...

Zendesk เปิดตัวฟีเจอร์เลือกอีโมจิตามโทนสีผิว ตอบโจทย์ผู้ใช้งานที่หลากหลาย

ความแตกต่างของสีผิวเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ผู้คนให้ความสนใจและพยายามผลักดันให้เกิดความเท่าเทียมในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลกมาสักพักใหญ่แล้ว เพราะความแตกต่างทางสีผิวนั้นไม่ได้เป็นตัวชี้วัดความเก่ง ความดี หรือความสำเร็จ ใด ๆ เลย ซึ่งทาง Zendesk เองก็มีผู้ใช้งานและพนักงานที่ความหลากหลายทางสีผิวแตกต่างกันออกไป และ Zendesk ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของความเท่าเทียมที่ผู้คนทั่วโลกกำลังเรียกร้องนี้ ทำให้ผู้พัฒนาระบบ Zendesk Agent Workspace ได้ออกแบบฟีเจอร์การเลือกโทนสีผิวสำหรับอีโมจิ เพื่อแสดงถึงฐานผู้ใช้งาน (Agent) ของ Zendesk ที่หลากหลาย วิธีเลือกโทนสีผิวให้กับอีโมจิ ผู้ใช้งาน (Agent) สามารถคลิกไอคอนอีโมจิด้านล่างกล่องข้อความและเลือกอีโมจิที่ต้องการส่งให้กับลูกค้า นำเมาส์ไปชี้ที่ไอคอนที่คุณเลือกจะมีคำว่า Select a skin tone ขึ้นมาและเลือกโทนสีผิวที่จะใช้เพื่อแสดงตัวตนของผู้ใช้งานเองได้ตามที่ต้องการ Zendesk Agent Workspace ถูกออกแบบมาเพื่อผู้ใช้งาน (Agent) โดยเฉพาะให้ทำงานง่ายและปรับแต่งตามที่ผู้ใช้งานต้องการ เพราะ Zendesk เชื่อว่าการสร้างประสบการณ์ของผู้ใช้งานที่ดีมีความสำคัญพอ ๆ กับการสร้างประสบการณ์ที่ดีของลูกค้า นอกเหนือจากการเลือกโทนสีผิวของอีโมจิ Zendesk Agent Workspace ยังมีฟีเจอร์ที่สร้างประสบการณ์อันยอดเยี่ยมให้กับผู้ใช้งานและลูกค้าอีกมากมาย รับสิทธิ์ทดลองใช้ Zendesk ฟรีที่นี่! >> https://bit.ly/3eT06pN ทดลองใช้ Zendesk trial ฟรี สอบถาม ราคา Zendesk ติดต่อ บริษัท ดีมีเตอร์ ไอซีที จำกัด ผู้ให้บริการระบบ Zendesk ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ – Zendesk Thailand Partner สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ราคา Zendesk พร้อมโปรโมชันพิเศษ โทร. 02 030 0066 Facebook Page : @demeterict support@dmit.co.th Official LINE...

ตรวจสอบประสบการณ์ลูกค้าด้วย Zendesk Explore ฟีเจอร์ที่เป็นมากกว่าแค่ตัวแสดงกราฟ

การวัดผลประสบการณ์ของลูกค้าว่าลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดี (CX) จากธุรกิจของเราหรือไม่นั้น ต้องใช้ข้อมูลหลาย ๆ ส่วน ไม่สามารถใช้ตัวเลขตัวใดตัวหนึ่งมาตัดสินได้ เพราะฉะนั้นการที่คุณมีข้อมูลของลูกค้ามากเท่าไหร่ก็ยิ่งส่งผลดีต่อธุรกิจมากเท่านั้น ตามรายงานแนวโน้มจาก CX Trends 2020, บริษัทที่นำข้อมูลที่ได้จากลูกค้าในหลาย ๆ ส่วนมาใช้สามารถแก้ปัญหาของลูกค้าได้เร็วขึ้น 36% และเวลาในการรอแก้ปัญหาของลูกค้าลดลงถึง 79% เพราะการสำรวจเส้นทางและวัดผลในทุก ๆ แง่มุมของลูกค้าที่มีต่อธุรกิจนั้นจะทำให้นำข้อมูลมาวิเคราะห์ได้อย่างละเอียดและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้าง CX ที่ง่ายขึ้น แต่ทว่าการที่จะเก็บข้อมูลหลาย ๆ ส่วนนั้น ธุรกิจจำเป็นต้องมีเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ โดย Zendesk Explore เป็นฟีเจอร์หนึ่งของซอฟต์แวร์ Zendesk (#1 Digital Customer Service Software) ที่จะช่วยดูแนวโน้มที่สำคัญต่อธุรกิจ ในการหาวิธีการปรับปรุงการสนทนาของทีมสนับสนุนกับลูกค้าเพื่อสร้างประสบการณ์ลูกค้า (CX) ที่ดีขึ้น และแสดงผลการวัดความพึงพอใจของลูกค้าที่มีต่อธุรกิจของคุณได้แบบง่ายดาย เริ่มจากการทำความเข้าใจในทุก ๆ บทสนทนากับลูกค้าด้วยการวิเคราะห์แบบ Omnichannel เพราะการสนทนากับลูกค้านั้นเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นทางโทรศัพท์จนไปถึงการแสดงความคิดเห็นบนโซเชียลมีเดีย สำรวจและติดตามข้อมูลในทุกช่องทางเพื่อให้คุณมองเห็นประสบการณ์ของลูกค้าอย่างแท้จริง นอกจากนี้การที่ธุรกิจติดตามลูกค้าในทุก ๆ ช่องทาง ส่งผลให้ธุรกิจสามารถจัดลำดับความสำคัญและเพิ่มประสิทธิภาพในช่องทางที่ยอดนิยมสำหรับธุรกิจของคุณให้ดียิ่งขึ้นได้ พอเราเห็นข้อมูลในแต่ละช่องทางที่ลูกค้าติดต่อเข้ามาแล้วนั้น ต่อมาก็จะมาดูในส่วนของคะแนนความพึงพอใจของลูกค้า (CSAT) และเวลาการรอจะช่วยเป็นตัวบ่งชี้ที่ดีถึงประสิทธิภาพของแต่ละช่องทาง ช่องทางใดที่มีอัตราความพึงพอใจสูงสุดและเวลาในการแก้ไขที่เร็วที่สุดคือช่องทางที่ธุรกิจควรลงทุนและโปรโมทให้กับลูกค้าเพื่อมาใช้ช่องทางนั้นให้มากขึ้น ติดตามประสบการณ์ของลูกค้าด้วยแดชบอร์ดที่ทุกคนสามารถสร้างข้อมูลที่อยากเห็นเป็นของตัวเองและปรับแต่งได้ตลอดเวลา การออกแบบและความซับซ้อนของแดชบอร์ดควรสะท้อนถึงความต้องการและขนาดขององค์กรของคุณ สตาร์ทอัพมักจะมีแดชบอร์ดที่ง่ายกว่าองค์กร แดชบอร์ดของ Zendesk Explore เหล่านี้จะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มประสบการณ์ลูกค้าที่สำคัญที่สุด และคุณก็ยังสามารถปรับแต่งข้อมูลที่จะแสดงในส่วนที่ตัวเองต้องการรูัได้อย่างอิสระ บริษัทที่มีขนาดใหญ่กว่ามักจะใช้ประโยชน์จากแดชบอร์ดเหล่านี้ในเชิงลึกและละเอียดมากขึ้น ในกรณีดังกล่าว ข้อมูลระดับสูง เช่น คะแนน CSAT สามารถแยกย่อยตามตัวชี้วัดที่ตรงเป้าหมายมากขึ้น เช่น ประเภทลูกค้าหรือข้อมูลประชากร Zendesk Explore ยังอนุญาตให้ผู้ใช้สร้างแดชบอร์ดกำหนดเองได้ตั้งแต่เริ่มต้น การวัดผลประสบการณ์ของลูกค้าด้วยแผนภูมิที่แข็งแกร่งและตัวเลือกรายงานการวัดผลอาจไม่เพียงพอ แต่คุณต้องแสดงผลของข้อมูลนั้นในรูปแบบที่เข้าใจง่ายและน่าสนใจ Zendesk Explore มีแผนภูมิให้คุณเลือกมากกว่า 20 ประเภท พร้อมด้วยคำแนะนำที่ช่วยดูความเหมาะสมของข้อมูลและการแสดงแผนภูมิให้เข้าใจง่ายและดีที่สุดออกมา ทำไม Zendesk Explore ต้องมีตัวเลือกแผนภูมิมากขนาดนี้? เนื่องจากการแสดงภาพของข้อมูลที่เหมาะสมจะทำให้มองเห็นแนวโน้มและข้อมูลได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างเช่น คุณสามารถเห็นข้อมูลฐานลูกค้าของคุณชัดเจนขึ้นด้วยแผนภูมิที่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาแบ่งตามข้อมูลประชากรอย่างไร หรือเหตุใดพวกเขาจึงมักจะติดต่อบริษัทของคุณมากที่สุด คุณยังสามารถเพิ่มแผนภูมิทั้งหมดที่คุณสร้างลงในแดชบอร์ดหรือแชร์ให้กับเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ทุกคนมีข้อมูลชุดเดียวกัน ช่วยลดความผิดพลาดและสามารถทำรายงานอัปเดตข้อมูลได้อัตโนมัติภายในครั้งเดียว...

Continue reading

Gartner จัดอันดับ Zendesk ผู้นำด้าน CRM Customer Engagement 6 ปีซ้อน

เชื่อว่าหลายคนในแวดวงไอที อาจจะเคยได้ยิน Magic Quadrant ของ Gartner มาบ้างไม่มากก็น้อย ล่าสุดในการจัดอันดับของปี 2021 นี้ Zendesk ก็ได้รับเลือกให้เป็น Leader ด้าน CRM Customer Engagement Center และยังไม่ใช่ครั้งแรกแต่เป็นการรั้งตำแหน่งถึงปีที่ 6 ติดต่อกัน เพื่อความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้น ก่อนอื่น เรามาทำความรู้จัก Gartner Magic Quadrant กันก่อน Magic Quadrant คือ ชื่อของรายงานการวิจัยทางการตลาด (Market Research Reports) โดยบริษัท Garner Inc. ซึ่งเป็นบริษัทเพื่อการวิจัยและให้คำปรึกษาของประเทศสหรัฐอเมริกา มีจุดประสงค์เพื่อการวิเคราะห์คุณภาพของผลิตภัณฑ์ในตลาด รวมทั้งทิศทาง พัฒนาการของเทคโนโลยี และผู้มีส่วนร่วมกับผลิตภัณฑ์นั้น ๆ สรุปให้เข้าใจได้ว่า Magic Quadrant ก็คือการวิเคราะห์ตำแหน่งด้านการแข่งขันทางการตลาด (Positioning) ของบริษัทต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมนั่นเอง โดยจะแสดงผลเป็นกราฟเมทริกซ์ 2 มิติ พิจารณาจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ Completeness of Vision แกน X ปัจจัยด้านวิสัยทัศน์ และ Ability to Execute แกน Y ปัจจัยด้านขีดความสามารถ  การประเมินของ Gartner Magic Quadrant จึงสามารถช่วยให้เห็นภาพรวมการแข่งขันของบริษัทในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีแวดวงนั้น ๆ ได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น อาทิ บริษัทไหนที่เป็นผู้นำตลาด บริษัทไหนที่มีศักยภาพในการเติบโตในอนาคต หรือบริษัทไหนมีขีดจำกัดในการพัฒนา ยิ่งตำแหน่งอยู่ด้านขวามาก ก็แสดงว่ามีคะแนนด้าน Completeness of Vision สูง และยิ่งตำแหน่งอยู่ด้านบน ก็แสดงว่ามี Ability to Execute สูงมากเช่นเดียวกัน โดยเมทริกซ์จะถูกแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม เพื่อแสดงความสามารถของแต่ละแบรนด์...

Continue reading