ปรับโฉมฟีเจอร์ Location picker ช่วยจัดการย้ายไฟล์บนไดร์ฟให้เร็วกว่าเดิม

ปรับโฉมฟีเจอร์ Location picker จัดการย้ายไฟล์บนไดร์ฟให้เร็วกว่าเดิม มาแล้ว! location picker หรือ เครื่องมือเลือกตำแหน่งการย้ายไฟล์ โฉมใหม่! ของ Google Drive เป็นการปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ UI บนเบราว์เซอร์  ที่จะช่วยให้คุณเลือกจัดการไฟล์หรือโฟล์เดอร์ไปยังตำแหน่งปลายทางที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่ารูปแบบเดิม รูปแบบ location picker ใหม่เป็นอย่างไร? แถบบนของหน้าต่าง location picker จะมี 3 หัวข้อให้คุณเลือก นั่นคือ Suggestion (แนะนำ), Starred (ที่ติดดาว) และ All location (พื้นที่ทั้งหมด) เพื่อให้คุณเข้าถึงโฟล์เดอร์ที่ต้องการจะย้ายได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น แสดงรายละเอียดเส้นทางของไฟล์ไปยังโฟล์เดอร์ที่ย้าย และหากโฟล์เดอร์ที่คุณเลือกนั้นเป็นโฟล์เดอร์ว่าง จะปรากฎด้วยรูปภาพโฟล์เดอร์ว่างเปล่า หรือหากคุณอยากจะสร้างโฟล์เดอร์ใหม่ก็ทำได้เช่นเดียวกัน หากในแถบ Suggestion ได้แสดงโฟล์เดอร์ที่คุณคาดว่าไม่น่าเกี่ยวข้อง คุณสามารถทำการลบโฟล์เดอร์นั้นออกจากการแนะนำได้เลย เมื่อเสร็จสิ้นการย้ายไฟล์ จะแสดงรายละเอียดที่แถบสีดำด้านล่างซ้าย ว่าคุณได้ย้ายไฟล์ไปที่โฟล์เดอร์นั้นเรียบร้อยแล้ว หากไฟล์ที่คุณมีเป็นไฟล์ชนิด “view only (สำหรับดูเท่านั้น)” จะไม่สามารถทำการจัดการย้ายไฟล์ได้ เนื่องจากคุณไม่ได้เป็นเจ้าของไฟล์ดังกล่าว วิธีการโอนย้ายไฟล์ ด้วย location picker รูปแบบใหม่ ใน 3 ขั้นตอน คลิกขวาที่ไฟล์ที่ต้องการจะโอนย้าย เลือก > Move to 2. เลือกที่แถบ Suggestion, Starred, หรือ All location ได้ตามต้องการ แล้วเลือกโฟล์เดอร์ปลายทางที่ต้องการจะย้ายไฟล์   3. คลิก Move เป็นอันเสร็จสิ้นการย้ายไฟล์ และ จะแสดงรายละเอียดที่แถบสีดำด้านล่างซ้าย ว่าคุณได้ย้ายไฟล์ไปที่โฟล์เดอร์นั้นเรียบร้อยแล้ว จะเห็นได้ว่า สำหรับการอัปเดตของ location picker ซึ่งการใช้งานก็จะคล้ายๆกับรูปแบบเดิมเลย เพียงแต่มีแถบ  Suggestion, Starred, และ All location เพิ่มขึ้นมา โดย Google บอกอีกว่าการพัฒนานี้ก็เพื่อให้เข้าถึงไฟล์นั้นๆได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว...

Continue reading

สรุป CX Trends 2023 ที่ธุรกิจไม่ควรพลาด มีอะไรบ้าง มาดูกัน!

เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2566 บริษัท Demeter ICT ร่วมกับ Zendesk ได้จัดงาน CX Trends 2023 ขึ้นที่โรงแรม Bangkok Marriot Marquis Queen’s Park เป็นการเผยแพร่การสำรวจของ Zendesk ที่ทำเป็นประจำทุกปี โดยปีนี้นับเป็นปีแรกที่จัดขึ้นในประเทศไทย  โดย Zendesk ได้ทำการสำรวจและเก็บข้อมูลจากกลุ่มลูกค้าและธุรกิจมากกว่า 8,400 ราย พร้อม benchmark ข้อมูลลูกค้ากว่า 100,000 องค์กร เกี่ยวกับความคิดเห็นและเทรนด์ของ Customer Experience (CX) ในปีนี้ เทรนด์ทั้ง 5 ที่กำลังมาแรงในปีนี้จะประกอบไปด้วยอะไรบ้าง ในบทความนี้เราจะมาสรุปให้ทุกคนได้อ่านกัน เทรนด์ที่ 1 : การนำ AI / BOT มาเพิ่มประสบการณ์ลูกค้า 65% ของผู้นำธุรกิจเชื่อว่าเทคโนโลยี AI ที่ใช้อยู่แสดงผลลัพธ์ที่มีความเป็นธรรมชาติและเหมือนมนุษย์มากขึ้น 77% ของผู้บริโภคกล่าวว่า BOT มีประโยชน์ในการตอบคำถามง่าย ๆ  71% ของผู้บริโภคเชื่อว่า BOT ช่วยให้ได้รับการตอบกลับที่เร็วขึ้น และ 67% ของผู้บริโภคเชื่อว่า BOT มักจะให้ข้อมูลที่ถูกต้อง การนำ AI หรือ BOT มาเพิ่มประสบการณ์ลูกค้า เกิดจากความคาดหวังของลูกค้าที่ต้องการบริการที่รวดเร็ว ถูกต้อง และเข้าถึงได้ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ลูกค้าคุ้นเคยกับการเข้าถึงช่องทางออนไลน์ในช่วง Lockdown ที่ผ่านมา  ในส่วนของแบรนด์เองก็สามารถนำ AI มาช่วยในการสร้างการทำงานแบบอัตโนมัติ อย่างการแนะนำลูกค้า การนำ BOT มาช่วยในการตอบคำถามที่พบบ่อย ซึ่งจะช่วยลดภาระงานของพนักงานให้ไปจัดการในเรื่องที่ซับซ้อนกว่าได้ เทรนด์ที่ 2 : เรื่องของประสบการณ์การสนทนากำลังมีอิทธิพลมากขึ้นเรื่อย ๆ ในใจของผู้บริโภค 70% ของผู้บริโภคซื้อสินค้าหรือบริการของแบรนด์ที่สามารถให้ประสบการณ์แบบต่อเนื่อง (Seamless Experience)...

Continue reading

เพิ่มช่องทางประชาสัมพันธ์ในองค์กร ด้วย “Annoucement Only” จาก Google Chat

เพิ่มช่องทางประชาสัมพันธ์ในองค์กร ด้วยฟีเจอร์ “Annoucement Only” จาก Google Chat สำหรับองค์กรที่ใช้งาน Google Workspace อยู่ฟังทางนี้ ล่าสุด! Google ได้พัฒนาและเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ “Announcement Only (การประกาศเท่านั้น)” ใน Google Chat เพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้งานที่มีจุดประสงค์“สื่อสารรูปแบบระบบทางเดียว (one-way communication)” ซึ่งอาจประยุกต์การใช้งานเป็นลักษณะการประกาศข่าวสารหรือประชาสัมพันธ์ข้อมูลภายในองค์กร ที่สามารถต่อยอดการใช้งานได้หลายฝ่าย ตัวอย่างเช่น แผนก HR แผนก IT เป็นต้น  ฟีเจอร์ Announcement Only คืออะไร? ประกาศล่าสุดสำหรับเดือนเมษายนนี้ Google ได้ทำการพัฒนาฟังก์ชั่นการกำหนดค่าการใช้งานเพิ่มเติม สำหรับ Spaces ใน Google Chat นั่นก็คือ “Annoucement only (การประกาศเท่านั้น)” ผู้ใช้งานสามารถกำหนดให้แต่ละ space นั้นเป็นรูปแบบ “การสื่อสารรูปแบบระบบทางเดียว” เป็นการสื่อสารในลักษณะที่ผู้ส่งเป็นผู้ให้ข่าว และมีอิทธิพลต่อผู้รับเพียงฝ่ายเดียว โดยที่ผู้รับไม่สามารถสื่อสารโต้ตอบได้ การกำหนดค่าให้ space เป็น Announcement only นั้นสามารถทำได้โดย Space Manager เท่านั้น ที่มีสิทธิ์กระทำได้ มีดังนี้  กำหนดค่า space นั้นๆ ให้เป็นสิทธิ์ของ  Space Manager ที่สามารถกระทำได้ฝ่ายเดียว การโพสต์ การตอบกลับ (reply) การเพิ่มไฟล์ มอบหมายสิทธิ์ในการโพสต์หรือการกระทำอื่นๆให้กับสมาชิกใน space ได้ การตั้งค่าเปิดใช้งานฟีเจอร์ Announcement Only การกำหนดค่าเป็น Announcement only สามารถทำได้ตั้งแต่การสร้าง space ใหม่ขึ้นมา และทำเครื่องหมายที่ check box “only Space Managers can post.” ด้านล่างของหน้าต่าง create a space...

Continue reading

สรุป AppSheet คืออะไร ? ทำอะไรได้บ้าง ? (ฉบับเข้าใจง่าย)

AppSheet ถือได้ว่าเป็นแอปพลิเคชันที่ถูกพูดถึงและกำลังมาแรงแซงทางโค้งอย่างมากในประเทศไทยของเรา เพราะเพียงแค่เดือนเดียว Keyword คำว่า “AppSheet” ถูกค้นหาไปมากกว่า 3 หมื่นครั้ง  แล้วทำไม AppSheet ถึงกำลังได้รับความนิยมมากขนาดนี้กันนะ ? วันนี้ Demeter ICT จึงได้ทำสรุปฉบับเข้าใจง่าย ที่ไม่ว่าจะมือใหม่หัดใช้หรือคนที่ต้องการทำความรู้จักเพิ่มเติมว่า AppSheet จริง ๆ แล้วคืออะไร หน้าตาเป็นอย่างไร ทำอะไรได้บ้าง เพื่อให้ท่านได้เข้าใจและเห็นภาพรวมกันชัด ๆ ไปเลย ! AppSheet คืออะไร ? AppSheet คือ เครื่องมือสร้างแอปพลิเคชันแบบเร็วที่สุดโดยที่คุณไม่ต้องมีทักษะการเขียนโค้ดแต่อย่างใด เพราะ AppSheet นั้นคือ No-Code Platform แบบ 100% เรียกได้ว่าเป็นนวัตกรรมใหม่จากค่าย Google ที่กำลังได้รับความสนใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว AppSheet ทำอะไรได้บ้าง ? AppSheet สามารถสร้างแอปพลิเคชันได้อย่างรวดเร็ว โดยข้อมูลที่คุณจะต้องนำมาใช้งานก็มาจาก Google Sheets ที่คุณใช้อยู่ทุกวันนั่นแหละ เพียงแต่ว่าคุณนำข้อมูลเหล่านี้มาสร้างกระบวนการการทำงานให้เป็นระบบอัตโนมัติ เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้การทำงานของคุณง่าย สะดวก และรวดเร็วมากยิ่งขึ้น โดย AppSheet สามารถรองรับได้ทั้ง Desktop version และ Mobile version เลย Demeter ICT สรุปให้สั้นๆ ว่า AppSheet สามารถ สร้างแอปพลิเคชันได้ สร้าง Workflow Automation ได้ สร้าง SMS, Bot, Push notifications อัตโนมัติได้ เชื่อมต่อกับข้อมูลได้หลากหลายประเภท เช่น Excel, Dropbox, Box, และ Saleforce.com ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็น Google Sheets เท่านั้น บันทึกข้อมูลจาก Google Forms Barcode ลายเซ็น...

Continue reading

สรุปสาระสำคัญจากงานสัมมนา Harnessing The Power of Collaboration by Google Workspace

เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2566 ที่ผ่านมา บริษัท Demeter ICT ได้มีโอกาสจัดงานสัมมนาสุดพิเศษ ณ ออฟฟิศ Google Thailand ซึ่งได้รับความสนใจอย่างล้นหลามเลยทีเดียว เรียกได้ว่างานดีๆ แบบนี้ไม่ได้มีมาบ่อยๆ แต่มีอีกแน่นอน! สำหรับงานสัมมนาครั้งนี้ จัดขึ้นในหัวข้อ “Harnessing The Power of Collaboration: สร้างวิถีการทำงานให้ชาญฉลาด ไร้อุปสรรคจาก Silo ด้วย Google Workspace” เพื่อส่งเสริมให้องค์กรต่างๆ ตระหนักถึงความสำคัญของการทำงานร่วมกัน (Collaboration) ภายในองค์กรไม่ว่าจะระดับใดก็ตาม ทั้งผู้บริหาร ผู้จัดการ หรือพนักงานทั่วไป อีกทั้งการ Collaboration นี้ยังสามารถช่วยลดต้นทุนจากการลงทุนหลายระบบแบบ Silo มาอยู่ในระบบเดียวกับ Google Workspace ได้อีกด้วย ไม่เพียงแค่นั้น ภายในงานสัมมนา Demeter ICT ได้มีการนำ AppSheet หนึ่งในผลิตภัณฑ์ของ Google ที่ดีมีเตอร์ ไอซีที ของเราได้ให้บริการมาสาธิตวิธีการต่อยอดการทำงานจาก Google Workspace ให้ทุกท่านสามารถสร้างสรรค์กระบวนการทำงานในองค์กรให้อยู่ในรูปแบบอัตโนมัติได้อย่างผู้เชี่ยวชาญ ตัวอย่าง Process การทำงานที่นำ Google Workspace + AppSheet + Looker Studio มาประยุกต์ใช้เพื่อให้งานมีประสิทธิภาพมากขึ้น 1. ทำงานประจำวันด้วย Google Workspace Google Docs – สร้างสรรค์เอกสาร Google Forms – เก็บข้อมูล Google Sheets – นำข้อมูลออกมาแสดงผลในรูปแบบตาราง 2. ต่อยอดการทำงานด้วยการสร้าง Application สำหรับการทำงานที่เป็นอัตโนมัติด้วย AppSheet Idea → Application (ไม่จำเป็นต้องเขียนโค้ด เพราะ AppSheet เป็น No-code...

Continue reading

อัปเกรด Customer Journey ด้วย Sunshine Conversations จาก Zendesk

คุณอาจจะเคยได้ยินมาว่าการทำธุรกิจในยุคปัจจุบันนี้ บริษัทไหนที่สามารถมอบการบริการสุดประทับใจหรือสร้างประสบการณ์ที่เหนือความคาดหมายให้กับลูกค้าได้ (Customer Experience) จะช่วยเพิ่มโอกาสทางการขายและนำไปสู่ยอดขายที่เพิ่มมากขึ้น ถึงอย่างนั้นเรื่องเหล่านี้ก็ไม่ใช่อะไรที่แค่คิดแล้วออกแบบ Customer Journey ก็จะทำให้เกิดขึ้นจริงได้ในทันที ตรงกันข้าม คุณจะพบว่ามีแต่จุดที่หาทางลงไม่ได้อยู่เต็มไปหมด แล้วจะดีกว่าไหม หากว่าคุณสามารถยกระดับ Customer Journey ของคุณให้สามารถสร้างกิจกรรมทางการตลาด ปิดการขาย ไปจนถึงการซัพพอร์ตและรับเรื่องเวลาลูกค้ามีปัญหาทั้งในและนอกเวลาทำการได้ โดยที่ทุกระบบทุกข้อมูลต่างเชื่อมต่อกันอย่างครบวงจร ในบทความนี้ เราจะมายกตัวอย่าง Customer Journey ตลอดจนแนะนำโซลูชันใหม่ล่าสุดของ Zendesk ที่จะช่วยทลายข้อจำกัดที่องค์กรเกือบร้อยทั้งร้อยต้องเผชิญ เรียกได้ว่าแบรนด์ไหนอยากอัปเกรด Customer Journey ห้ามพลาด! เริ่มด้วยตัวอย่าง Customer Journey ของธุรกิจอีคอมเมิร์ซแห่งหนึ่ง 1. สมมติว่าแบรนด์ A ได้ออกแบบ Customer Journey โดยเริ่ม Touchpoint แรกด้วยการยิงโฆษณาผ่านโซเชียลมีเดียไปยังลูกค้ากลุ่มหมายเป้าหมาย และคุณสมชายที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย (Target Audience) ได้เห็นจึงสนใจ 2. คุณสมชายจึงกดแชทบนโฆษณาเข้ามาขอคุยกับแบรนด์ผ่าน Facebook Messenger หรือ LINE OA 3. ทีม Customer Service สามารถตอบกลับได้ทันทีแบบไม่ต้องถามว่า คุณสมชายสนใจโปรโมชันที่มาจากโฆษณาที่กดมาใช่หรือไม่ 4. คุยไปคุยมา คุณสมชายขอคิดดูก่อน แต่ในระหว่างคิดสองสัปดาห์ก็มีข้อความและรูปภาพสวย ๆ จากระบบ Marketing Automation ไปกระตุ้นความอยากซื้อของคุณสมชายบน LINE OA จนในที่สุดคุณสมชายก็ได้ติดต่อกลับมาอีกครั้ง 5. แบรนด์ปิดการขายกับคุณสมชายได้ด้วยทีม Customer Service ส่งรูปภาพ Carousel สวย ๆ ให้คุณสมชายกดเข้าไปดูได้จากภายในแชท โดยไม่จำเป็นต้องออกจากแพลตฟอร์มเดิมเลยแม้แต่น้อย 6. คุณสมชายกดสั่งซื้อพร้อมชำระเงิน ด้วยระบบที่ลิงก์กับเว็บอีคอมเมิร์ซจากภายในแชท  7. ระบบอีคอมเมิร์ซส่งข้อความยืนยันไปที่แชทของคุณสมชายถึงรายการที่สั่งซื้อแล้ว 8. ระหว่างคุณสมชายรอสินค้าจัดส่ง ก็จะมีข้อความยิงจากระบบโลจิสติกส์หรือระบบขนส่งของแบรนด์ไปแจ้งสถานะการจัดส่ง โดยที่คุณสมชายไม่ต้องถาม จนคุณสมชายได้รับสินค้า 9. คุณสมชายเปิดกล่องมาดูปรากฏว่าสินค้าชำรุด ต้องการคืนสินค้าหรือเปลี่ยนสินค้า จึงเข้าไปหน้าเว็บอีคอมเมิร์ซเพื่อติดต่อ แต่ไม่อยากคุยโทรศัพท์ จึงกดปุ่มแชทที่หน้าเว็บไซต์แทน ณ...

Continue reading

Braze ขึ้นสู่ตำแหน่ง Leader สำหรับโซลูชัน Cross-channel Marketing Hub

เมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Braze ได้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Cross-channel Marketing Hubs (CCMH) จาก The Forrester Wave ประจำไตรมาสที่ 1 ปี 2023 และถูกจัดอยู่ในกลุ่ม Leaders โดยที่ Forrester ได้ประเมินโซลูชันในการจัดการแคมเปญแบบ Cross-channel หรือข้ามช่องทางจำนวน 15 โซลูชัน จาก 26 เกณฑ์ โดยแพลตฟอร์ม Braze ได้คะแนนสูงสุด 8 เกณฑ์ ซึ่งรวมถึงแผนงานด้านนวัตกรรม การซัพพอร์ตด้านผลิตภัณฑ์และบริการ รวมถึงประสิทธิภาพในการใช้งาน แพลตฟอร์ม Braze ได้ต่อยอดจากความสำเร็จด้านการมีส่วนร่วมอัตโนมัติผ่านมือถือเพื่อรับมือกับการตลาด CCMH แบบเต็มรูปแบบสำหรับช่องทางดิจิทัล และการเติบโตอย่างรวดเร็วก็ยังคงดำเนินต่อหลังจากที่ปรับเปลี่ยนไป Braze ได้เดินตามวิสัยทัศน์ของตัวเอง คือ ‘Start Anywhere , Go Everywhere’ เพื่อช่วยสร้างความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับลูกค้าได้ทุกที่ ทุกเวลา โดยไม่ต้องคำนึงถึงความสามารถทางเทคนิค เพราะ Braze ถูกสร้างมาให้ใช้งานง่าย เก็บข้อมูลลูกค้าได้อย่างลึกซึ้ง รวมถึง Workflow ที่มีความยืดหยุ่น สำหรับลูกค้าทีมการตลาดและนักลงทุนทุกท่าน ซึ่งนำมาสู่การเป็น Leader ของรางวัล CCMH จาก The Forrester Wave 2023 ในครั้งนี้ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมและแหล่งอ้างอิงได้ที่นี่ : Forrester ซอฟต์แวร์เพื่อการตลาด เพิ่มการมีส่วนร่วมระหว่างลูกค้ากับแบรนด์ของคุณ บริษัท ดีมีเตอร์ ไอซีที จำกัด – Your Business Transformation Partner ผู้ให้บริการ Braze ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ 02 030 0066 ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ Line@ : @dmit...

Knowledge Management คืออะไร? สรุปและตัวอย่าง

รู้หรือไม่? ทุกวันนี้มาตรฐานเรื่องการบริการในใจของลูกค้าสูงขึ้นกว่าแต่ก่อนแล้ว ลูกค้าคาดหวังว่าจะได้รับการตอบกลับที่รวดเร็วจากเจ้าหน้าที่ ทว่าเจ้าหน้าที่หรือพนักงานก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งเช่นกัน ที่มีช่วงเวลาหัวหมุน มึนงง ตามคำถามของลูกค้าไม่ทันจนต้องแอบขอเวลาไปศึกษาเพิ่มบ้างในบางครั้ง ช่วงเวลาแบบนี้นี่เองที่เรื่องของฐานความรู้ (Knowledge Base) และการบริหารจัดการฐานความรู้ (Knowledge Management) ในองค์กรนั้นเป็นอะไรที่แสนสำคัญและจำเป็นอย่างมาก Knowledge Management คืออะไร? Knowledge Management คือกระบวนการหนึ่งในการจัดเก็บ จัดระเบียบ แบ่งปันข้อมูลและความเชี่ยวชาญภายในองค์กร กระบวนการนี้สามารถรวมถึงการสร้างฐานข้อมูล ไลบรารี และเครื่องมืออื่น ๆ เพื่อจัดเก็บและจัดระเบียบข้อมูล เช่น การนำเทคโนโลยีไปใช้เพื่อให้พนักงานฝ่ายบริการลูกค้าสามารถแบ่งปันข้อมูลและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น Knowledge Management จึงมีความสำคัญเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในวงการธุรกิจทุกวันนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งหลายอย่างอย่างรวดเร็วและซับซ้อน จนทำให้องค์กรในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ยากที่จะติดตามข้อมูลล่าสุดและปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดได้ ตัวอย่างของ Knowledge Management ที่พบบ่อย การทำ Knowledge Management ไม่ถือเป็นเรื่องที่แปลกใหม่นัก เราจึงมักได้เห็นหลาย ๆ แบรนด์ได้นำ Knowledge Management มาปรับใช้งาน รูปแบบต่าง ๆ ที่พบบ่อยมีดังนี้ 1. Help Center Help Center หรือศูนย์ช่วยเหลือ (พบบ่อยในชื่อ Knowledge Base, Client Portal) ทำหน้าที่เหมือนกับห้องสมุดขององค์กร เป็นพื้นที่ที่ใช้จัดเก็บ รวบรวมข้อมูล ให้ลูกค้าค้นหาข้อมูลที่ต้องการและหาคำตอบด้วยตนเองได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเจ้าหน้าที่ ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ก็สามารถใช้ข้อมูลที่มีใน Help Center มาเป็นข้อมูลอ้างอิงขณะตอบคำถามลูกค้าได้เช่นกัน Help Center จึงถือเป็นแก่นสำคัญในการสร้างระบบสำหรับให้ลูกค้าบริการตนเอง (Self-service) เจ้าหน้าที่ยังสามารถเข้าไปอัปเดตข้อมูลให้เป็นล่าสุดอยู่เสมอ มั่นใจได้ว่าข้อมูลจะถูกต้อง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทั้งการทำงานและความพึงพอใจของลูกค้า ตัวอย่างที่น่าสนใจจาก Discord ที่ใช้ Zendesk ในการสร้างระบบ Help Center ผลคือสามารถลดปริมาณการตอบคำถามของเจ้าหน้าที่และมีจำนวนผู้ใช้งานในระบบ Help center เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่านับตั้งแต่ปรับปรุง และจำนวนยอดการเข้าชมที่เข้าไปหาข้อมูลบนหน้าเพจ Help center เพิ่มขึ้นกว่า 70% 2....

Continue reading

Marketing Automation เครื่องมือการตลาดยุคดิจิทัลสำหรับธุรกิจ B2C

นักการตลาดออนไลน์ทุกท่านเคยคิดเหมือนกันไหมครับ? ว่าการตลาดออนไลน์นั้นเป็นสิ่งที่มีความละเอียดอ่อนเยอะกว่าออฟไลน์เป็นอย่างมาก ยิ่งถ้าคุณเป็นธุรกิจ B2C ไม่ว่าจะเป็นการดึงดูดลูกค้า การสร้างปฏิสัมพันธ์ การลงคอนเทนต์โฆษณาที่หลากหลายเพื่อหาลูกค้าใหม่ การเก็บข้อมูลและแบ่งกลุ่มลูกค้าเป็นจำนวนมากหรือการรักษาลูกค้าเก่าของคุณเอง ซึ่งในทุก ๆ รายละเอียดของการทำงานต้องใช้ทั้งแรงงาน เงินและเวลาเป็นอย่างมาก   ส่งผลให้เกิดเครื่องมือที่มีชื่อว่า ‘Marketing Automation’ หรือแปลตรง ๆ ก็คือ การตลาดแบบอัตโนมัติ Marketing Automation คืออะไร? Marketing Automation คือ เครื่องมือที่จะช่วยปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานทางการตลาดในส่วนงานที่มักจะใช้เวลานานและยุ่งยากให้เป็นรูปแบบอัตโนมัติ  เพื่อช่วยลดต้นทุนให้น้อยลงทั้งแรงงาน เงินและเวลา โดยจุดประสงค์หลัก ๆ ของการมี Marketing Automation นั้นมีอยู่ 2 ประการ สำหรับนักการตลาด – Marketing Automation ทำให้กระบวนการ Back-end ของการทำการตลาดง่ายขึ้น เช่น การตั้งค่าโปรไฟล์ลูกค้า, การแบ่ง Segment ของลูกค้า, การสร้างแคมเปญการตลาด, การทดสอบ (A/B Testing), การเก็บรวบรวมข้อมูลของลูกค้าและการสร้าง Report สำหรับลูกค้า – Marketing Automation ช่วยสร้างการสื่อสารที่คล่องตัวในการส่งข้อความบนช่องทางที่ลูกค้าชื่นชอบและสร้างประสบการณ์ที่เฉพาะตัวกับลูกค้าได้ดียิ่งขึ้นในเวลาที่เหมาะสม ทำไม Marketing Automation ถึงเหมาะกับธุรกิจ B2C ? ด้วยธุรกิจแบบ B2C นั้นมักจะมีลูกค้าเป็นจำนวนมาก ซึ่งก็จะตามมาด้วยความต้องการที่หลากหลายคนนี้ต้องการแบบนี้ อีกคนอาจจะต้องการอีกแบบนึง ดังนั้นการที่จะให้นักการตลาดมาโฟกัสความต้องการของลูกค้าทุกคนนั้นคงเป็นไปได้ยาก หรือถ้าเป็นไปได้นักการตลาดคงต้องทำงานกันอย่างแสนสาหัสเลยทีเดียว ถ้าไม่มีเครื่องมือ Marketing Automation เข้ามาช่วยเหลือ หากลองสังเกตดี ๆ แล้ว Marketing Automation ไม่เพียงช่วยแค่นักการตลาดเท่านั้น แต่ยังส่งผลถึงทีมขายอีกด้วย เพราะ Marketing Automation จะช่วยระบุคนที่มีโอกาสมาเป็นลูกค้าและสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าเบื้องต้น ทำให้ทีมขายสามารถปิดการขายได้ง่ายยิ่งขึ้น ด้วยระบบของ Marketing Automation สามารถแสดงให้เห็นภาพรวมเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้มีโอกาสเป็นลูกค้า ด้วยวิธีการติดตามพฤติกรรม เช่น การติดตามเส้นทางของผู้ใช้ผ่านเว็บไซต์ของคุณ (Customer Journey) จึงช่วยให้ทีมการตลาดของคุณเข้าใจความสนใจของลูกค้าได้...

Continue reading