องค์กรที่ได้เปรียบและสามารถอยู่รอดในโลกแห่งความจริงได้ คือองค์กรที่มีการปรับตัวและไม่หยุดพัฒนาตนเองในทุกยุคทุกสมัย เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยสิ่งสำคัญที่ให้องค์กรพัฒนาไปข้างไม่ใช่แค่การมีผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์อันกว้างไกลเพียงเท่านั้น แต่ยังประกอบด้วยปัจจัยอื่นๆอีกมากมาย เช่น ระบบโครงสร้างองค์กร พันธกิจและเป้าหมาย ทรัพยากรมนุษย์ และทัศนคติในการทำงาน เป็นต้น อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่หลายองค์กรให้ความสำคัญในการพัฒนาองค์กร ซึ่งเป็นปัจจัยที่มีผลอย่างมากในยุคนี้ นั่นก็คือเครื่องมือที่ใช้ในกระบวนการทำงาน รวมถึงเทคโนโลยีที่ช่วยขับเคลื่อนองค์กรในยุคดิจิทัลให้สามารถดำเนินกระบวนการทำงานได้อย่างรวดเร็วและราบรื่นไร้รอยต่อนั่นเอง โดยเครื่องมือด้านเทคโนโลยีในปัจจุบันก็มีอยู่หลากหลายประเภท ขึ้นอยู่กับว่าเครื่องมือใดที่จะสามารถตอบโจทย์ความต้องการขององค์กรได้มากที่สุด โดยต้องอาศัยความพิถีพิถันในการเลือกใช้เครื่องมือ เปรียบเสมือนการเลือกใส่ปุ๋ยให้ตรงกับชนิดของต้นไม้เพื่อให้ผลิตดอกออกผลเจริญงอกงามตามสายพันธุ์ แนะนำ AppSheet เครื่องมือเทคโนโลยีที่หลายองค์กรเลือกใช้พัฒนากระบวนการทำงาน AppSheet เป็นเครื่องมือที่ได้รับความนิยมอยากมากจากองค์กรต่างๆ และเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์จากผู้นำด้านเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Google ตอบโจทย์องค์กรที่ต้องการยกระดับหรือปรับปรุงกระบวนการทำงานให้อยู่ในรูปแบบแอปพลิเคชัน เหมาะสำหรับทุกธุรกิจและทุกขนาด แม้องค์กรนั้นจะไม่มีนักพัฒนาโปรแกรมก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะ AppSheet เป็นเทมเพลตสร้างแอปพลิเคชันที่ไม่ต้องใช้ทักษะการเขียนโค้ดเลยแม้แต่นิดเดียว นั่นหมายความว่าไม่ว่าบุคคลากรใดในองค์กรก็สามารถสร้างแอปพลิเคชันขึ้นมาไ้ด้ เพียงแค่อาศัยความเข้าใจในกระบวนการทำงานเพื่อสร้าง Workflow โดยให้แอปพลิเคชันเป็นผู้ช่วยในการดำเนินการแต่ละขั้นตอน ซึ่งสามารถช่วยลดรอยต่อการส่งผ่านงานระหว่างฝ่าย Operation และ ฝ่าย Management ได้เป็นอย่างดี AppSheet ช่วยพัฒนาองค์กรได้อย่างไร? AppSheet ช่วยลดต้นทุนทรัพยากรในองค์กร ข้อแรกเลยก็คือ AppSheet ช่วยลดต้นทุนในเรื่องของทรัพยากรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการลดปริมาณกระดาษ ลดการว่าจ้างทีม Developer และ Programmer ลดค่าดูแลรักษา และที่สำคัญคือช่วยร่นระยะเวลาการพัฒนาแอปพลิเคชันได้มากเลยทีเดียว เนื่องจาก Process การพัฒนาแอปที่ซับซ้อนได้ถูกตัดออกไป ทำให้องค์กรมีแอปพลิเคชันพร้อมใช้ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น AppSheet ช่วยลดความผิดพลาดของข้อมูล ทุกวันนี้บางองค์กรยังใช้วิธีการกรอกข้อมูลแบบ Mannual ผ่านตัว Spreadsheet หรืออื่นๆ เมื่อข้อมูลที่เพิ่มมากขึ้นอาจก่อให้เกิดความผิดพลาดของการเก็บบันทึกข้อมูลหรือเรียกแสดงผลข้อมูลได้ไม่สะดวกนัก ในส่วนนี้ AppSheet สามารถช่วยให้คุณกรอกข้อมูลได้ง่ายขึ้น ช่วยลดความผิดพลาดที่เกิดจากมนุษย์ (Human error) รวมถึงสามารถช่วยกรอกข้อมูลให้อัตโนมัติผ่านหน้าแอปพลิเคชันได้เลยทันที AppSheet ช่วยพัฒนากระบวนการทำงานในองค์กร บุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการทำงาน สามารถทำงานร่วมกันผ่านแอปได้เลย ตั้งแต่เริ่มกระบวนการไปจนถึงขั้นตอน Approval ที่สามารถอนุมัติผ่านแอปได้ในที่เดียว จากเดิมที่ค่อนข้างใช้เวลาในการส่งผ่านงานจากขั้นตอนหนึ่งไปอีกขั้นตอนหนึ่ง AppSheet จะช่วยกระชับระยะเวลาในแต่ละกระบวนการทำงานให้เป็นไปได้อย่างราบรื่น นอกจากนี้ยังสามารถต่อยอดข้อมูลจากแอปพลิเคชันมาออกแบบและพัฒนาเป็น Visualized Dashboard ให้มีรูปแบบการแสดงผลที่ง่ายดายและไม่ซับซ้อน เพื่อรองรับการติดตามหรือการวิเคราะห์ข้อมูลที่หลากหลายครบทุกมุมมองได้อย่างทันเวลาในที่เดียว และนี่คือประโยชน์ของ AppSheet ที่สามารถช่วยพัฒนาองค์กรได้จริง การันตีจากหนึ่งในลูกค้าของ Demeter ICT อย่าง ”การท่าเรือแห่งประเทศไทย” ที่เล็งเห็นความสามารถของ...
Continue readingกลยุทธ์ Data-Driven สร้างการตลาดที่ตรงใจลูกค้า
ยุคดิจิทัลเป็นยุคที่ข้อมูลเข้ามามีบทบาทสำคัญและเป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนธุรกิจในตอนนี้ (Data-Driven) ไม่ว่าคุณจะทำธุรกิจอะไร? เล็กใหญ่แค่ไหน? คุณก็จำเป็นที่จะต้องใช้ข้อมูลเพื่อมาประกอบการวางแผน การตัดสินใจและการดำเนินการบางสิ่งบางอย่างเพื่อให้ธุรกิจของคุณนั้นเติบโตขึ้น เลือกอ่านหัวข้อที่คุณต้องการได้เลย! Data-Driven คืออะไร ? Data-Driven (การขับเคลื่อนด้วยข้อมูล) คือ การทำหรือตัดสินใจบางสิ่งบางอย่าง โดยการอ้างอิงและวิเคราะห์จากข้อมูลเป็นหลัก เพื่อให้เราสามารถตัดสินใจหรือได้รับผลลัพธ์ที่ดีขึ้นนั่นเอง การที่ธุรกิจขับเคลื่อนด้วยข้อมูลของลูกค้าเป็นหนึ่งสิ่งที่แสดงถึงความเอาใจใส่ลูกค้า เพราะว่าคุณให้ความสำคัญและพยายามที่จะเข้าใจลูกค้าของคุณว่าเขาต้องการอะไร ไม่เพียงแต่จะเป็นการเพิ่ม ROI ให้กับบริษัท แต่การทำ Data-Driven ยังช่วยให้ธุรกิจทำ Trend Forecasting ได้ง่ายขึ้นอีกด้วย Data-Driven มีความสำคัญกับนักการตลาดอย่างไร ? Data-Driven เป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญที่นักการตลาดเลือกใช้ข้อมูลจากหลากหลายช่องทาง ทั้งข้อมูลที่ได้มาจากการปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าโดยตรงหรือผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ เพื่อช่วยในการวิเคราะห์ถึงพฤติกรรมลูกค้าเชิงลึกและช่วยในการวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาด รวมถึงการคาดการณ์แนวโน้มในอนาคตหรือที่เรียกว่า Data-Driven Marketing นั่นเอง เพราะการที่นักการตลาดจะปล่อยแคมเปญการตลาดออกไปนั้น คงไม่ใช่ลองปล่อยไปก่อนแล้วค่อยมาดูว่าลูกค้าสนใจไหม? แต่ธุรกิจจะต้องศึกษาถึงพฤติกรรม ความต้องการ ปัญหาของลูกค้าของตัวเองให้ดีเสียก่อน ยิ่งถ้าคุณเป็นธุรกิจระดับกลางถึงใหญ่การจะปล่อยแคมเปญการตลาดออกไปสักชิ้น จะต้องใช้ทั้งเวลา แรงและเงินทุนที่มหาศาล ถ้าแคมเปญการตลาดนั้นไม่ตอบโจทย์ลูกค้า คุณอาจจะไม่ได้เสียแค่แรง เวลาและเงินทุนเพียงเท่านั้น แต่อาจจะสูญเสียลูกค้าคนสำคัญไปด้วย นี่คือสิ่งที่บ่งบอกได้ว่าทำไมการทำ Data-Driven Marketing จึงมีความสำคัญกับนักการตลาดและธุรกิจของคุณ ข้อมูล Data-Driven Marketing มีอะไรบ้าง ? 1. ข้อมูลจากเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน (Web & Mobile App Analytics) คือ การวิเคราะห์ข้อมูลจากเว็บไซต์และแอปพลิเคชันจากการติดตาม MAU (Monthly Active User) ว่ามีลูกค้าเข้าชมเว็บไซต์หรือเข้าแอปของคุณต่อเดือนกี่คน และสามารถเจาะลึกลงไปได้ว่าลูกค้าของคุณมาจากช่องทางไหน หน้าเพจใดที่ลูกค้าใช้เวลามากที่สุด และเมื่อใดที่พวกเขาออกจากหน้าเว็บไซต์และแอปของคุณ 2. ข้อมูลจากอีเมลและข้อความบนมือถือ (Email & Mobile Messaging Analytics) คือ การเก็บข้อมูลลูกค้าจากการส่งข้อความโดยตรงถึงลูกค้า ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการติดต่อกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ เพราะปรับแต่งข้อความให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายของคุณได้ไม่ว่าจะเป็น Email, Message หรือ Push Notification ที่จะช่วยระบุแนวโน้มความสนใจของลูกค้าได้จาก Open rates, Click-through rates, Conversion...
Continue readingGemini ใน Google Workspace คืออะไร ? อยากทำงานด้วย AI ต้องฟังทางนี้ !
ยังคงเป็นกระแสกันอย่างต่อเนื่องกับ Gemini เทรนด์การทำงานใหม่ที่ได้รับความสนใจอย่างล้นหลามจากองค์กรชั้นนำหลายแห่งทั่วโลก ! ในปี 2023 ไตรมาสที่ 3 Google ได้เปิดตัว Gemini ผลิตภัณฑ์เสริมของ Google Workspace ที่ผสานพลังของปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ากับการทำงานร่วมกันแบบดิจิทัล ซึ่งความสามารถของ Gemini ได้สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้คนทั่วโลกเป็นอย่างมาก หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ Gemini ได้รับความนิยมอย่างมากก็คือ ผลิตภัณฑ์นี้ถูกพัฒนามาจาก Generative AI ของ Google เอง ซึ่งเป็นเทคโนโลยี AI ขั้นสูงที่สามารถสร้างสรรค์ผลงานต่าง ๆ ออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ เช่น ภาพ วิดีโอ เสียงเพลง และข้อความ เป็นต้น ความสามารถของ Generative AI นั้นมีความแม่นยำและสร้างสรรค์เป็นอย่างมาก จึงทำให้มั่นใจได้ว่า Gemini จะสามารถช่วยสร้างสรรค์ผลงานต่าง ๆ ออกมาได้อย่างมืออาชีพและมีคุณภาพมากที่สุด หากตอนนี้คุณก็เป็นหนึ่งในองค์กรที่สนใจทำงานด้วย Gemini มาทำความรู้จัก Gemini ไปพร้อม ๆ กันเลยว่า Duet AI คืออะไร ? สามารถทำอะไรได้บ้างและสามารถทำงานร่วมกับ Google Workspace ได้มากน้อยแค่ไหน ? อ่านบทความนี้ให้จบ รับรองว่าได้คำตอบภายใน 3 นาทีแน่นอน ! เริ่มจับเวลาได้เลย ! Duet AI คืออะไร ? Gemini คือ ผู้ช่วยอัจฉริยะของ Google Workspace ที่สามารถช่วยคิด ช่วยค้น และเนรมิตผลงานออกมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่ง Google เองก็ได้ให้คำนิยามว่า Duet AI เป็น AI-powered collaborator ยกระดับการทำงานจาก Online Collaboration Tool สู่การทำงานร่วมกันแบบไร้รอยต่อด้วย Gemini โซลูชันการทำงานด้วย AI ยุคใหม่ที่องค์กรไม่ควรพลาด...
Continue readingChecklist 3 สิ่งต้องมี เตรียมบุคลากรให้พร้อมทำงานในยุคแห่ง AI
เมื่อ AI เริ่มขยับเข้ามาใกล้คุณมากขึ้นจนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ดังนั้นหากคุณอยากที่จะก้าวทันและก้าวนำหน้าคู่แข่ง คุณจึงไม่ควรพลาดที่จะปรับเปลี่ยนบริษัทให้สามารถทำงานได้ในยุคแห่ง AI และเพื่อให้การปรับเปลี่ยนหรือทรานส์ฟอร์มภายในบริษัทประสบความสำเร็จดั่งที่หวัง เราจึงได้คัดสรร Checklist ที่จะช่วยนำทางให้คุณได้เบื้องต้นว่า หากจะเริ่มทำงานด้วย AI ต้องเตรียมหรือเรียนรู้อะไรบ้าง Checklist 3 สิ่งต้องมี เตรียมบุคลากรให้พร้อมทำงานด้วย AI 1. ต้อง Reskilling และ Upskilling เมื่อ AI เป็นสิ่งที่หลายคนยังไม่คุ้นเคย ดังนั้นการจะทำงานด้วยการใช้ AI ก็จำเป็นที่จะต้องมีสกิลบางอย่างเพื่อให้สามารถนำ AI มาประยุกต์ใช้กับงานได้มากขึ้น การ Reskilling หรือ Upskilling จึงเป็นสิ่งที่องค์กรควรให้ความสำคัญแก่พนักงานอย่างมาก เพราะจะช่วยให้พนักงานสามารถทำงานด้วยการใช้เครื่องมือ AI ชนิดต่าง ๆ ได้อย่างคล่องแคล่ว และสามารถนำมาสร้างหรือวิเคราะห์ธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย ตัวอย่างทักษะที่แนะนำ ได้แก่ การเรียนรู้ในส่วนของ Data Analysis, Machine Learning, Automation และ Critical Thinking ซึ่งทักษะเหล่านี้จะทำให้พนักงานเข้าใจการทำงานด้วยเทคโนโลยี AI มากขึ้น และยังสามารถนำสกิลเหล่านี้มาช่วยในการตัดสินใจทางธุรกิจได้อย่างดี แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจำเป็นจะต้องเรียนรู้ทุกสกิลที่เกี่ยวกับ AI นะ CEO หรีอ Manager ของคุณจะเป็นคนช่วยนำทางว่าในหน้าที่ใครเหมาะที่จะเรียนรู้สกิลไหนเพื่อที่จะต่อยอดได้อย่างมีประโยชน์มากที่สุดหรือจะเป็นในส่วนของสกิลที่ยังขาดไปและจำเป็นต้อง Reskill หรือ Upskill ก็ได้เช่นกัน ซึ่งองค์กรเองสามารถให้พนักงานเข้าร่วม Training Program, Workshops, Courses, หรือจะเป็นการเรียนรู้ผ่าน Online platform ก็ได้ สรุปสั้นเลย คือการลงทุนในการ Reskilling And Upskilling มีแต่ได้กับได้ ทักษะเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะพัฒนาทักษะของพนักงานเพียงอย่างเดียว แต่ยังพัฒนาองค์กรของคุณอีกด้วย 2. สนับสนุนการเรียนรู้แบบ Lifelong Learning Culture การเรียนรู้นั้นถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ สำหรับองค์กรที่ต้องการจะศึกษาและปรับตัวเข้าหากับ AI องค์กรควรมีการผลักดันให้พนักงานชอบการเรียนรู้เพื่อพัฒนาสกิลต่าง ๆ ให้มีความถนัดและชำนาญมากขึ้น โดยการให้ผู้นำขององค์กรเป็นแบบอย่างในการลองผิดลองถูก เรียนรู้จากข้อผิดพลาดและความสำเร็จ...
Continue readingHuman-AI Collaboration คืออะไร ?
หากคุณได้ติดตามข่าวเกี่ยวกับเทคโนโลยีมาบ้างในช่วงนี้ ก็คงจะพอทราบว่าศึกแห่ง AI กำลังเริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจังแล้ว หากสังเกตดี ๆ สิ่งต่าง ๆ รอบตัวคุณล้วนแต่ทยอยเปลี่ยนเป็น AI กันหลายอย่าง ทั้งนี้ก็เพราะธุรกิจต่าง ๆ เริ่มมีการนำ AI มาใช้เพื่อให้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคและใช้ AI ในการช่วยสร้างสรรค์ผลงานขององค์กรเพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างรวดเร็วและมีคุณภาพมากที่สุด ดังนั้นเมื่อมีการนำ AI เข้ามาทำงานร่วมกับมนุษย์มากขึ้น จึงเกิดเป็นการทำงานที่เราเรียกกันว่า “Human-AI Collaboration” Human-AI Collaboration คืออะไร ? Human-AI Collaboration คือ การที่คุณทำงานร่วมกับ AI เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่คุณวางแผนไว้ ซึ่ง AI จะทำหน้าที่เหมือน Partner เปรียบเสมือนคู่คิดของคุณที่คอยให้คำปรึกษาและคอยช่วยเหลืองานต่าง ๆ นั่นเอง ตัวอย่างเช่น การให้ AI ช่วยค้นหาข้อมูล ช่วยสร้างรูปภาพ ช่วยวิเคราะห์รายงาน หรือช่วยในการตัดสินใจทางธุรกิจ เป็นต้น ซึ่ง Human-AI collaboration จะแตกต่างจาก AI-centric แบบดั้งเดิม ใน 5 แง่มุมดังนี้ 1. เป้าหมาย Traditional AI-centric: มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาความสามารถของ AI Human-AI collaboration: มุ่งเน้นไปที่การสร้างผลลัพธ์อย่างถูกต้องแม่นยำและมีประสิทธิภาพสูงสุด 2. การมีส่วนร่วมของมนุษย์ Traditional AI-centric: บทบาทของมนุษย์จะถูกจำกัดลงอย่างต่อเนื่อง Human-AI collaboration: ข้อมูลที่มนุษย์ได้ให้กับ AI คือข้อมูลที่สำคัญที่สุดในการนำมาใช้ประมวลผลสำหรับการแก้ไขปัญหาและปรับปรุงกระบวนการต่าง ๆ 3. ความสามารถ Traditional AI-centric: มนุษย์สามารถถูกแทนที่ได้ง่ายด้วยความสามารถของ AI Human-AI collaboration: เพิ่มประสิทธิภาพของการทำงานด้วยการหลอมรวมจุดแข็งของมนุษย์และ AI เข้าด้วยกัน 4. อำนาจในการตัดสินใจ Traditional AI-centric: AI ตัดสินใจแทนมนุษย์ได้เลยทันที Human-AI collaboration: มนุษย์ตัดสินใจได้เองด้วยข้อมูล Insight...
Continue readingจะเริ่มต้นทรานส์ฟอร์มองค์กร ทำไมต้องใช้ AppSheet ? แอปเดียวเอาอยู่จริงเหรอ ?
เมื่อคุณต้องการที่จะทรานส์ฟอร์มองค์กร หนึ่งในสิ่งที่คุณขาดไปไม่ได้เลยก็คือเครื่องมือที่จะช่วยให้การทรานส์ฟอร์มองค์กรเป็นไปได้อย่างง่ายที่สุด ซึ่งเครื่องมือเทคโนโลยีเพื่อการทำงานที่กำลังมาแรงมากที่สุดในขณะนี้ คือ AppSheet แพลตฟอร์มสร้างแอปพลิเคชันที่ตอบโจทย์การทำงานของคุณได้มากที่สุด “แอปเดียวที่ครอบคลุมได้ทุกการใช้งานตั้งแต่ขั้นต้นไปจนถึงขั้นสูง” มาดูกันว่าทำไม AppSheet จึงเป็นแพลตฟอร์มที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการทรานส์ฟอร์มองค์กรตั้งแต่ขั้นเริ่มต้น ! 3 เหตุผลหลักที่ AppSheet เหมาะสำหรับการเริ่มต้นทรานส์ฟอร์มองค์กร การเริ่มต้นทรานส์ฟอร์มองค์กรในขั้นแรกจะต้องเริ่มด้วยอะไรที่ง่ายที่สุด ซึ่ง AppSheet ถูกพัฒนามาให้ใช้งานง่ายอยู่แล้ว เพราะคุณสามารถสร้างแอปพลิเคชันได้เองโดยที่ไม่ต้องเขียนโค้ดเลย การให้บุคลากรในองค์กรออกแบบแอปพลิเคชันที่ตอบโจทย์การทำงานของทีมด้วยตัวเอง จะช่วยให้พนักงานเข้าใจการทำงานขององค์กรมากขึ้น ทำให้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่นและยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของงานได้อีกด้วย คุณสามารถเริ่มสร้างจากแอปพลิเคชันเดียวแล้วจึงค่อยทยอยสร้างแอปพลิเคชันสำหรับการทำงานในส่วนอื่นได้ ซึ่งคุณสามารถสร้างได้แบบไม่จำกัดจำนวนแอปโดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมแต่อย่างใด เหมาะมาก ๆ สำหรับองค์กรที่กำลังเริ่มต้นทรานส์ฟอร์มกระบวนการทำงาน (หลักสูตรสร้าง AppSheet คลิกที่นี่) AppSheet แตกต่างจากแอปอื่นอย่างไร ? 1. AppSheet รวมทุกอย่างไว้ในแอปเดียว ปกติแล้วในหนึ่งแอปพลิเคชันคุณจะสามารถใช้ได้สำหรับฝ่ายเดียวเท่านั้น เช่น แอปที่ 1 สำหรับฝ่าย HR, แอปที่ 2 สำหรับฝ่าย Sales และแอปที่ 3 สำหรับฝ่าย IT ซึ่งหากคุณใช้วิธีการซื้อ Outsource แบบนี้ คุณจำเป็นที่จะต้องซื้อแอปเพิ่มในทุก ๆ การใช้งาน แต่สำหรับ AppSheet นั้น อย่างที่ได้กล่าวไปด้านบนแล้วว่า เพียงแค่มี AppSheet ก็สามารถสร้างได้หลายแอปพลิเคชัน ตอบโจทย์ทุกการใช้งานแน่นอน ! 2. ใน AppSheet คุณสามารถกำหนดรูปแบบการทำงานของแอปเองได้ สำหรับการใช้งาน AppSheet คุณจะสามารถกำหนดฟังก์ชันการทำงานของแอปพลิเคชันเองได้ เช่น คุณต้องการออกแบบให้แอปทำงานตาม Work Process ของคุณโดยกำหนด Action ต่าง ๆ เอง รูปแบบนี้ก็สามารถทำได้ เรียกว่าไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของการใช้งานเลย ซึ่งจะแตกต่างจากการที่คุณใช้งานแอปจาก Outsource เพราะแอปเหล่านั้นจะมีการดีไซน์ฟังก์ชันไว้อยู่แล้ว ซึ่งคุณก็จะต้องใช้งานตามฟังก์ชันของแอปนั้นเท่านั้น จะไม่สามารถปรับเปลี่ยนให้ตอบโจทย์ต่อการใช้งานของคุณแบบ 100% ได้ 3. คุณสามารถใช้งาน AppSheet ร่วมกับ Google Workspace ได้ เนื่องจาก...
Continue readingเจาะลึก Framework ของ Braze ซอฟต์แวร์ Martech หนึ่งเดียวที่ได้อยู่ใน Nasdaq
Braze แพลตฟอร์มการตลาด (Martech) แบบครบวงจรที่ช่วยให้ธุรกิจของคุณสามารถสร้างประสบการณ์การมีส่วนร่วมของลูกค้า รวมถึงสร้างแคมเปญการตลาดแบบไร้รอยต่อได้ในทุกช่องทาง ไม่ว่าจะบนมือถือ (แอป) เว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย อีเมล ข้อความและอื่น ๆ ด้วยเครื่องมือและฟีเจอร์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ทีมการตลาดโดยเฉพาะ ดังนั้นแคมเปญการตลาดของคุณจะมีประสิทธิภาพและเพิ่มการมีส่วนร่วมกับลูกค้าของคุณได้ดียิ่งขึ้น โดยในบทความนี้เราจะพาทุกท่านมาเจาะลึกถึงกระบวนการทำงาน Marketing Journey Framework ของ Braze ว่ามีกระบวนการทำงานอย่างไร? และจะช่วยตอบโจทย์การทำงานของทีมการตลาดอย่างไรได้บ้างแบบ Step by step แพลตฟอร์ม Braze จะแบ่ง Marketing Journey ของลูกค้าเป็น 3 ส่วน ด้วยกัน ได้แก่ https://www.dmit.co.th/wp-content/uploads/2022/11/Screen-Recording-2565-11-23-at-09.56.56-1.mov 1. Listen (รับฟังข้อมูลลูกค้า) รับฟังข้อมูลลูกค้าพร้อมสร้างฐานข้อมูล First Party Data ที่มาจากธุรกิจของคุณเองโดยตรง ซึ่งสามารถติดตามและเก็บข้อมูลของลูกค้าได้จากทุกช่องทาง ไม่ว่าจะบนมือถือ (แอป) เว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย อีเมล และอื่น ๆ เพื่อใช้ในการวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าแต่ละคนได้แบบเรียลไทม์ Integrations : ผสานฐานข้อมูลของลูกค้าจากแหล่งต่าง ๆ ที่คุณมารวมไว้ในที่เดียวและสามารถแชร์ข้อมูลระหว่างแพลตฟอร์มกันได้อย่างอิสระ APIs และ SDKs : ช่วยในการติดตามและรวบรวมข้อมูลของลูกค้าขณะเวลาใช้งานแบบเรียลไทม์และเชื่อมต่อข้อมูลลูกค้ากับแพลตฟอร์มที่ใช้งานอยู่ 2. Understand (ทำความเข้าใจลูกค้า) นำข้อมูลจากฐานข้อมูล First Party Data ที่เราเก็บมาวิเคราะห์เพื่อทำความเข้าใจลูกค้าและความต้องการของลูกค้าแต่ละราย ด้วยฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ทีมการตลาดสามารถสร้างแคมเปญการตลาดที่ใช่และตรงใจลูกค้ามากที่สุด Dynamic Segmentation : สามารถแบ่งและจัดกลุ่มลูกค้าอัตโนมัติโดยอิงจากฐานข้อมูล เพื่อสร้างกลุ่มลูกค้าที่มีคุณสมบัติหรือพฤติกรรมที่เหมือนกัน โดยใช้เกณฑ์ต่าง ๆ ที่คุณสามารถกำหนดได้เอง Journey Orchestration (Canvas Flow) : ฟีเจอร์ที่ช่วยให้ทีมการตลาดสร้างและออกแบบแคมเปญการตลาดแบบอัตโนมัติตาม Customer Journey ได้แบบง่าย ๆ ใน ในรูปแบบของ Multi-Channel Campaign พร้อมทั้งยังมีฟีเจอร์ที่ทีมการตลาดต้องการอย่าง A/B Testing...
Continue readingITSM 2024: Modernizing Seamless & Effortless Experience with Freshservice
ไขเคล็ดลับ ตามเทรนด์ให้ทัน เปลี่ยนแปลงการให้บริการด้านไอทีของคุณให้ดีขึ้นกว่าที่เคย เตรียมความพร้อมก้าวสู่ปี 2024 อย่างมี Strategy กับงานสัมมนาครบจบเพื่อ IT Leader โดยเฉพาะ ITSM 2024: Modernizing Seamless & Effortless Experience with Freshservice วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน 2023 l เวลา 13.00 – 17.00 น. SPEAKERS Chaitavat Yaopromsiri Vice President of CX Solutions Sales, Demeter ICT Peerachat Koonvirarak Country Channel Sales Manager, Freshworks Chanus Sathornkit Vice President of CX Solutions Consulting, Demeter ICT นับถอยหลังอีกเพียงไม่กี่วันปีนี้ก็จะสิ้นสุดลง ก้าวสู่ปี 2024 อย่างเต็มตัว ในยุคที่ทุกองค์กรต่างนำเทคโนโลยีมาปรับใช้และคนไอทีต้องรับศึกหนัก ถึงเวลาหรือยังที่จะปรับปรุงการจัดการบริการด้านไอทีของคุณให้ทันสมัย ราบรื่น และดีต่อใจพนักงานเสียที? Demeter ICT ร่วมกับ Freshworks ขอเชิญชาวไอทีและผู้ที่สนใจอัปเกรด ITSM ทุกท่านมาพบกับงานสัมมนาสุดพิเศษส่งท้ายปี กับงาน ‘ITSM 2024: Modernizing Seamless & Effortless Experience with Freshservice’ อัดแน่นเนื้อหาทุกเรื่องที่ควรรู้เพื่อให้คุณเตรียมพร้อมรับมือปี 2024 อย่างมั่นใจ ไม่ว่าจะเป็น ✅ รู้เท่าทัน ITSM Trends 2024 มีแนวโน้มอะไรที่น่าสนใจบ้าง? ✅ แชร์กลยุทธ์ในการปรับใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างเสริม Employee Experience ซึ่งนำไปสู่การเติบโตขององค์กร...
Continue readingวิธีส่ง Appointment Schedule จองตารางนัดหมายให้ทันใจด้วย Gmail
เมื่อ Demeter ICT ได้พาทุกท่านไปสร้าง Appointment Schedule ใน Google Calendar กันเรียบร้อยแล้ว บทความนี้เรียกได้ว่าเป็นส่วนเพิ่มเติมสำหรับใครที่ต้องการต่อยอด Appointment Schedule ให้สามารถทำงานร่วมกับ Gmail ได้ ซึ่งคุณจะสามารถแนบตารางนัดหมายส่งให้ผู้รับได้เลยทันที ไม่ต้องเข้า-ออกหลายแอปพลิเคชัน รับรองว่านัดหมายได้รวดเร็วทันใจอย่างแน่นอน วิธีการส่ง Appointment Schedule ด้วย Gmail มี 2 วิธี คือ 1. Offer times you are free วิธีนี้คือการที่คุณนำตาราง Appointment Schedule ที่คุณสร้างขึ้นมาวางลงบนอีเมลที่คุณกำลังเขียนอยู่ ซึ่งผู้รับจะสามารถกดเลือกเวลานัดหมายที่ต้องการผ่านอีเมลที่คุณส่งไปได้เลยทันที ตัวอย่าง Appointment Schedule ที่จะปรากฏบน Gmail การส่ง Appointment Schedule ด้วยวิธีการ Offer times you are free ไปที่หน้า Gmail แล้วกด Compose เมื่อมีหน้าต่าง Gmail ปรากฏขึ้นมา ให้ไปที่แท็บเมนูด้านล่างแล้วกด Set up a time to meet เลือก Offer times you are free จากนั้นเลือกวันที่ เวลา และสถานที่ที่คุณต้องการเสนอนัดหมายให้กับผู้รับ เมื่อเรียบร้อยแล้ว กดส่งได้เลย เมื่อผู้รับได้กดเลือกเวลาใดเวลาหนึ่งจากที่คุณเสนอไปแล้ว คุณจะได้รับอีเมล Event Confirmed เพื่อยืนยันการนัดหมาย แล้วการนัดหมายนั้นจะเข้าไปอยู่ใน Google Calendar ของคุณและผู้รับโดยอัตโนมัติเลยทันที 2. Create an event ตัวเลือกนี้จะเป็นการสร้าง Event ใหม่จากหน้า Google Calendar ซึ่งรายละเอียดการสร้าง Event ก็จะเหมือนกับการสร้างประชุมปกติดังรูปภาพด้านล่าง...
Continue reading