Lush แบรนด์เครื่องสำอางชั้นนำกับการสร้าง ROI 369% หลังใช้ Zendesk

ในโลกธุรกิจทุกวันนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีหลายอย่างที่ขับเคลื่อนด้วย AI รวมถึงการใช้ AI เข้ามาช่วยด้านการบริการลูกค้า แต่เชื่อว่าหลายคนก็คงอดกังขาไม่ได้ว่าใช้ AI แล้วจะวางใจได้แค่ไหน? จะลดทอนปฏิสัมพันธ์และทำให้ลูกค้าเห็นว่าแบรนด์ไม่ใส่ใจหรือเปล่า? และช่วยให้ลูกค้ารู้สึกดีได้จริงไหม? ในบทความนี้เราจึงขอยกกรณีศึกษาที่น่าสนใจจากแบรนด์ค้าปลีกชื่อดังอย่าง Lush ซึ่งเป็นแบรนด์เครื่องสำอางชั้นนำระดับโลกและพบเจอหน้าร้านได้ในห้างสรรพสินค้าในไทยเช่นกัน Lush คือใคร? ร้านค้าปลีกเครื่องสำอาง Lush ก่อตั้งขึ้นในเมืองดอร์เซ็ต ประเทศอังกฤษ เมื่อปี 1995 โดดเด่นด้วยจริยธรรมที่แข็งแกร่ง มีชื่อเสียงในเรื่องของการค้าที่ยุติธรรม การรักษาสิ่งแวดล้อม และการไม่ทดลองกับสัตว์ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ค่านิยมเหล่านี้จะสะท้อนอยู่ในแผนกบริการลูกค้าของบริษัทด้วย “ต้องทำควบคู่กันไป ลูกค้าดึงดูดเข้าหาเราด้วยจริยธรรมและค่านิยมของเรา เราใส่ใจทั้งผู้คน สิ่งแวดล้อม และสัตว์ เราจึงไม่ยอมลดทอนคุณภาพการดูแลลูกค้า พนักงาน หรือซัพพลายเออร์ เพียงเพื่อให้ทุกอย่างถูกลง ง่ายขึ้น หรือเร็วขึ้น” Naomi Rankin ผู้จัดการฝ่ายประสบการณ์ลูกค้าระดับโลกกล่าว Zendesk เสริมความต่อเนื่องของประสบการณ์ลูกค้าให้ Lush อย่างไร? ทั้ง Naomi Rankin และ Sonya Fanson ผู้ดูแลฝ่าย CX ระดับโลกของ Lush ต่างเริ่มต้นจากการเป็นพนักงานหน้าร้านมาก่อน ซึ่งทำให้เข้าใจหัวใจของลูกค้าอย่างลึกซึ้ง เมื่อบริษัทต้องการยกระดับระบบบริการลูกค้าทั่วโลก Lush เลือกใช้ Zendesk ในปี 2014 ที่สหราชอาณาจักร และขยายไปยังประเทศอื่นในอีก 2 ปีถัดมา เพื่อสร้างมาตรฐานด้านดิจิทัลของแบรนด์ พร้อมกับรีแพลตฟอร์มเว็บไซต์ในช่วงเทศกาลคริสต์มาสพอดี “เป็นคริสต์มาสที่ยุ่งที่สุดที่ทีมดิจิทัลเคยมี และเราเพิ่งย้ายเว็บไซต์ ความเสถียรของระบบ Zendesk ในตอนนั้นจึงช่วยให้เราระบุปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและแก้ไขได้ทันท่วงที” Zendesk กลายเป็นศูนย์กลางในการรับคำถามทุกช่องทาง ทั้งอีเมล แชท ข้อความ โทรศัพท์ และยังเป็นเครื่องมือสำหรับติดตามและวิเคราะห์คำถามจากลูกค้า “ตอนแรกเราเลือกใช้ Zendesk เพื่อจัดการอีเมลขาเข้าและบันทึกการโทรทั้งหมดไว้ในที่เดียว ช่วยให้เราปรับปรุงความต่อเนื่องและบริการลูกค้าได้ดีขึ้น และยังสามารถทำรายงานที่ละเอียดขึ้นสำหรับธุรกิจ” Rankin กล่าว “ก่อนใช้ Zendesk การรายงานจากฝ่ายดูแลลูกค้าค่อนข้างน้อย หรืออาจเรียกได้ว่าแทบไม่มีเลย” ยกระดับประสบการณ์ลูกค้าด้วย Zendesk AI “เรามักจะหลีกเลี่ยงการใช้ระบบอัตโนมัติมากเกินไป เพราะเราไม่ต้องการแทนที่การสื่อสารแบบตัวต่อตัว” Rankin กล่าว แต่ทีมงานพบว่ามีคำถามซ้ำจำนวนมาก...

Continue reading

สรุปกลยุทธ์ทำการตลาดผ่าน WeChat ตอนที่ 3

WeChat Channel WeChat Channel เป็นฟีเจอร์ใหม่ภายในระบบนิเวศน์ของ WeChat ที่อนุญาตให้ผู้ใช้ (Users) อินฟลูเอนเซอร์ (Influencers) และแบรนด์ต่างๆ (Brands) สร้างและโพสต์คอนเทนต์วิดีโอสั้นๆ และเผยแพร่ผ่านฟีดสื่อ WeChat Channels ซึ่งเป็นทางเลือกสำหรับเทรนด์ความนิยมที่เพิ่มขึ้นของแพลตฟอร์มวิดีโอสั้น เช่น Douyin (Tiktok) และ Kuaishou ผู้ใช้ WeChat สามารถเลื่อนดูฟีดได้ตลอดเพื่อค้นหาสิ่งที่เพื่อนๆ และแบรนด์โปรดที่โพสต์ รวมถึงคอนเทนต์จากผู้ใช้ อินฟลูเอนเซอร์ และบัญชีสาธารณะอื่นๆ จาก Channels ผู้ใช้ WeChat สามารถสำรวจคอนเทนต์และติดตามผู้ใช้ที่ไม่ได้อยู่ในรายชื่อติดต่อ และบัญชี WeChat Official Account ที่ผู้ใช้งานไม่ได้ติดตาม การโฆษณาแบบเสียเงินบน WeChat แคมเปญโฆษณาสามารถเพิ่มการรับรู้ถึงแบรนด์ได้อย่างยอดเยี่ยม แต่แบรนด์ต้องมีความคิดสร้างสรรค์เพื่อดึงดูดความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย เช่น การเชิญชวนให้โหวต เล่นเกม หรือตอบคำถาม ซึ่งควรจะดึงดูดใจ สนุกสนาน และให้รางวัล แคมเปญที่สร้างสรรค์มักจะสามารถดึงดูดผู้ติดตามมายังบัญชีของเราได้เสมอ ซึ่งการโฆษณาแบบเสียเงินบน WeChat มี 3 รูปแบบหลัก: WeChat Banner Advertisements WeChat Moments Advertisements Key Opinion Leader (KOL) Promotion WeChat Campaigns โฆษณาแบนเนอร์ใน WeChat จะถูกวางไว้ในบทความของบัญชี WeChat Official Account และมีลักษณะแบบคลาสสิกคล้ายกับโฆษณาบนเว็บไซต์อื่น จุดเด่นคือมีการตั้งราคาแบบขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ (Performance-based Pricing) และทำให้ผู้ใช้เข้าสู่เว็บไซต์ของเราได้ง่ายขึ้น โฆษณา WeChat Moments ช่วยให้ผู้ลงโฆษณาสามารถโฆษณาในส่วน Moments ซึ่งเปรียบได้กับ Newsfeed ของ Facebook ข้อดีคือ WeChat Moments ช่วยให้โฆษณาได้ง่ายขึ้นและคุ้มค่า: ส่วนกราฟิก: ใช้ภาพสูงสุด 6 ภาพหรือวิดีโอความยาวไม่เกิน 15 วินาที...

Continue reading
visual project management

3 เครื่องมือ ช่วยให้มองเห็นภาพรวมของโปรเจกต์ทั้งหมดด้วย Asana

เลือกอ่านหัวข้อที่คุณต้องการได้เลย! วิธีการบริหารโปรเจกต์และงานของแต่ละคน แต่ละทีม แต่ละองค์กรมักมีการทำงานที่แตกต่างกันออกไป แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าผู้ที่ดูแลบริหารโปรเจกต์คิดเหมือนกัน คือ การมองเห็นภาพรวมของโปรเจกต์และงานทั้งหมดในรูปแบบที่จับต้องได้ เข้าใจง่ายและชัดเจน ซึ่งการบริหารโปรเจกต์แบบให้เห็นภาพที่ชัดเจนนั้นเรียกว่า Visual Project Management คือ แนวทางการบริหารโปรเจกต์ที่ผสมผสานการทำงานเข้ากับเครื่องมือและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อช่วยให้การดูภาพรวมของโปรเจกต์นั้น แสดงในรูปแบบของภาพและมุมมองต่าง ๆ ที่เข้าใจง่ายขึ้น ซึ่งในบทความนี้เราจะยกตัวอย่าง 3 เครื่องมือ ที่จะช่วยให้คุณมองเห็นภาพรวมของโปรเจกต์ทั้งหมดได้อย่างชัดเจนและง่ายมากขึ้นด้วยแพลตฟอร์ม Asana จะมีอะไรบ้าง? ไปดูกัน! 1. ไทม์ไลน์และแผนภูมิ (Timelines & Gantt Charts) หนึ่งในวิธีการดูแผนของโปรเจกต์ให้ชัดเจน คือ การทำไทม์ไลน์และแผนภูมิ (Timelines & Gantt Charts) ซึ่งจะแสดงงานทั้งหมดของโปรเจกต์ในรูปแบบกราฟแท่ง เพื่อให้เห็นได้ว่าแต่ละงานต้องเริ่มและจบเมื่อไหร่ และใช้เวลานานแค่ไหน เหมาะสำหรับโปรเจกต์ที่มีกรอบเวลาชัดเจนและงานต้องเสร็จตามกำหนด ซึ่งวิธีนี้จะทำให้คุณจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่ได้ดีขึ้น จัดการคนให้เหมาะสมกับแต่ละช่วงและเห็นความเชื่อมโยงของงานทั้งหมด โดยตัวอย่างโปรเจกต์ที่เหมาะกับรูปแบบไทม์ไลน์และแผนภูมิ เช่น: การจัดการแคมเปญการตลาด แคมเปญการเปิดตัวสินค้า การวางแผนงานอีเวนต์ 2. กระดานคัมบัง (Kanban Boards) คัมบัง (Kanban) เป็นวิธีจัดการงานที่ใช้ “การ์ด” แทนงานแต่ละชิ้นและวางการ์ดไว้ในคอลัมน์ที่บ่งบอกถึงสถานะงานในตอนนั้น เช่น To-do → Doing → Done โดยที่เวลางานมีความคืบหน้า การ์ดก็ถูกย้ายไปตามคอลัมน์ถัดไป เพื่อทำให้ทีมมองเห็นได้ทันทีว่าตอนนี้งานอยู่ในขั้นตอนไหนของโปรเจกต์ทั้งหมด Kanban Boards เป็นเครื่องมือที่เหมาะกับงานหรือโปรเจกต์ที่มีหลายขั้นตอน และต้องการติดตามความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยใช้ได้ดีกับงานแบบ Agile เช่น: การพัฒนาซอฟต์แวร์หรือแอป (ตัวอย่าง: Backlog → In Progress → Testing → Done) การผลิตคอนเทนต์ หรือ เว็บไซต์ (ตัวอย่าง: Idea → Draft → Review → Published) การรับบรีฟและอนุมัติจากลูกค้า (ตัวอย่าง: Request...

Continue reading
How to create website in Google Sites

How to สร้างเว็บไซต์ด้วย Google Sites ใน 6 ขั้นตอน

Google Sites หนึ่งในฟีเจอร์ของ Google Workspace ช่วยให้คุณสามารถสร้างเว็บไซต์ได้ด้วยตัวเอง ถึงแม้คุณจะไม่มีทักษะการเขียนโปรแกรมก็ตาม เพราะเพียงแค่คลิก ลาก และวาง  ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ธุรกิจ เว็บไซต์งานกิจกรรม ก็สามารถสร้างได้ง่ายๆเพียง 6 ขึ้นตอนต่อไปนี้ How to สร้างเว็บด้วย Google Sites ใน 6 ขั้นตอน เลือกอ่านหัวข้อที่คุณต้องการได้เลย! คลิกไปยังหัวข้อที่คุณสนใจได้เลยทันที 1. สร้างเว็บไซต์ จากหน้าแรกของ Sites ให้คลิกสร้าง + ที่ด้านบน หรือเลือกเทมเพลตโดยคลิก Template gallery (แกลเลอรีเทมเพลต) หรือจาก Google Drive คลิก New (ใหม่)> More (เพิ่มเติม)> Google Sites 2. ตั้งชื่อเว็บไซต์ 1. Title site ชื่อเอกสารของเว็บไซต์จะปรากฏให้คุณเห็นเท่านั้น และคุณไม่สามารถตั้งชื่อซ้ำกันได้  2. Site name ชื่อเว็บไซต์จะปรากฏในส่วนหัวและในแถบชื่อหน้าต่างของเว็บไซต์หลังจากที่คุณเผยแพร่เว็บไซต์เรียบร้อยแล้ว ซึ่งหากคุณต้องการให้ชื่อเว็บไซต์ปรากฏ คุณจะต้องมีหน้าเว็บเพจ 2 หน้าขึ้นไป 3. Page Title ชื่อหน้าเว็บเพจจะปรากฏที่ด้านบนของหน้าเพจนั้น ๆ และใน Navigation Menu ด้วย 3. เลือกเลย์เอาต์ คลิก Layouts (เลย์เอาต์) ที่ด้านขวา 4. เลือกภาพพื้นหลัง รูปแบบ Header และธีม คุณสามารถเลือกใช้ธีมสำเร็จรูปจาก Google Sites ได้เลยทันที อีกทั้งยังสามารถปรับเปลี่ยนได้ทุกเมื่อแม้ว่าจะ Publish ไปแล้วก็ตาม 4.1 เปลี่ยนภาพพื้นหลัง ไปที่ Google Sites แล้วเปิดเว็บไซต์ของคุณ คลิกปุ่ม image ที่ภาพพื้นหลัง เลือกตัวเลือกต่อไปนี้ Upload (อัปโหลด) Select...

Continue reading

สรุปกลยุทธ์ทำการตลาดผ่าน WeChat ตอนที่ 2

โปรโมตบัญชี WeChat Official Account ด้วยการตลาดผ่านกลุ่ม WeChat (WeChat Group) กลุ่ม WeChat หรือ WeChat Group เป็นวิธีที่รวดเร็วและง่ายที่สุดในการเผยแพร่เนื้อหาไปยังผู้ใช้ WeChat ที่สนใจในประเภทสินค้าหรือบริการของเรา หากแบรนด์ของเราได้รับการแนะนำโดยผู้ใช้ในกลุ่ม ความเชื่อมั่นในแบรนด์จะเพิ่มขึ้น และสามารถดึงดูดความสนใจของผู้ใช้อื่นได้ ดังนั้น กลุ่ม WeChat จึงสามารถเข้าถึงชุมชนที่ใหญ่ขึ้นและเพิ่มการมองเห็นได้ดียิ่งขึ้น ตัวอย่างของการทำการตลาดผ่านกลุ่ม WeChat โบรชัวร์ WeChat H5: โซลูชันส์ที่คุ้มค่าสำหรับการกระจายเนื้อหา โบรชัวร์ WeChat ในฟอร์แมตแบบ H5 เป็นโบรชัวร์แบบโต้ตอบ (Interactive) ที่สร้างขึ้นในรูปแบบโปรแกรมขนาดเล็กของ WeChat ทำหน้าที่คล้ายกับ PDF ที่แนะนำแบรนด์และผลิตภัณฑ์ โบรชัวร์เหล่านี้มีความสามารถในการโต้ตอบและแชร์ได้ง่าย ทำให้เป็นเครื่องมือการตลาดที่ยอดเยี่ยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณต้องการทำงานร่วมกับตัวแทนจำหน่ายในจีน โบรชัวร์ WeChat มีประโยชน์ทั้งในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ เพราะสามารถส่งและแจกจ่ายได้ง่าย เหมาะสำหรับการแสดงรายการสินค้าและแนะนำบริษัท ธุรกิจควรพิจารณาใช้กลุ่ม WeChat เป็นพื้นที่สำหรับให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์และสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมาย และควรโพสต์เนื้อหาเป็นประจำในช่วงเวลาที่มีผู้ใช้งานมากที่สุด ข้อดีของโบรชัวร์ WeChat H5: แชร์ง่ายและมีน้ำหนักเบา โต้ตอบได้และมีความน่าสนใจ พกพา QR Code ไปทุกที่แทนการพิมพ์ใบปลิว ประหยัดต้นทุน เป็นทางเลือกแทนการส่งอีเมลพร้อม PDF ที่ใหญ่และไม่มีประสิทธิภาพ แสดงให้พันธมิตรทางธุรกิจในจีนเห็นว่าคุณเข้าใจตลาด ตัวอย่าง H5 Brochure WeChat CRM & เมนูสำหรับบัญชีทางการ ตั้งค่าและใช้งาน WeChat CRM ในแอป เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการสื่อสารกับผู้ติดตาม/ลูกค้าของคุณ และสามารถใช้แทนจดหมายข่าวได้ ซึ่งตอบโจทย์ที่การตลาดผ่านอีเมลไม่เหมาะกับการทำการตลาดในประเทศจีน เพราะคนจีนไม่ค่อยอ่านอีเมล ด้วย WeChat CRM ที่ตั้งค่าอย่างดี จะทำให้เราสามารถตอบคำถามผู้ติดตามได้อัตโนมัติ ต้อนรับผู้ติดตามใหม่ มอบส่วนลดพิเศษ และอื่น ๆ ซึ่งช่วยประหยัดเวลาและเพิ่มระดับความไว้วางใจจากผู้ติดตาม WeChat OA Menu โปรแกรมขนาดเล็กของ WeChat (WeChat Mini-programs) ในปี...

Continue reading

Fresh Talks & Tastes: Uncomplicate Success, Win Together with Freshworks

Uncomplicate Success, Win Together with Freshworks วันพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน เวลา 17.00 – 20.00 น. Eastin Grand Hotel Phayathai (BTS พญาไท) งานอีเวนต์ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย จำกัดเพียง 20 ที่นั่ง สำหรับผู้ได้รับเชิญเท่านั้น ลงทะเบียนฟรี Exclusive Evening of Inspiration, Insight, and Connection For Invited Guests Only ค่ำคืนที่รวมตัวผู้นำธุรกิจเพื่อร่วมสนทนาแลกเปลี่ยนมุมมองเชิงลึกในเรื่องของ CX และ EXพร้อมดื่มด่ำกับมื้อค่ำที่รังสรรค์อย่างประณีต ในบรรยากาศอบอุ่นเป็นกันเอง Demeter ICT และ Freshworks ขอเชิญคุณเข้าร่วมอีเวนต์สุด Exclusive กับงาน ‘Fresh Talks & Tastes: Uncomplicate Success, Win Together with Freshworks‘ พื้นที่พิเศษสำหรับผู้นำองค์กรที่จะได้เปิดมุมมองใหม่ แลกเปลี่ยนแนวคิด และสำรวจเส้นทางสู่การสร้างประสบการณ์ที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังทั้งต่อลูกค้าและพนักงาน Highlights: ค้นพบวิธีเปลี่ยนความซับซ้อนให้กลายเป็นความง่าย ตั้งแต่การทำงานภายในทีมไปจนถึงการสร้างประสบการณ์ที่จะทำให้ลูกค้าหลงรัก 📌 ค้นพบวิธีเปลี่ยนความซับซ้อนให้กลายเป็นความง่าย ตั้งแต่การทำงานภายในทีมไปจนถึงการสร้างประสบการณ์ที่จะทำให้ลูกค้าหลงรัก แลกเปลี่ยนไอเดียและประสบการณ์ พร้อมสำรวจกลยุทธ์ CX และ EX ที่สามารถนำไปปรับใช้ได้จริง เพื่อสร้างคุณค่าทางธุรกิจอย่างยั่งยืน   ✨ แลกเปลี่ยนไอเดียและประสบการณ์ พร้อมสำรวจกลยุทธ์ CX และ EX ที่สามารถนำไปปรับใช้ได้จริง เพื่อสร้างคุณค่าทางธุรกิจอย่างยั่งยืน ถกมุมมองเชิงลึกเกี่ยวกับ AI และบทบาทในการพลิกโฉม CX และ EX ทั้งในมิติของโอกาสใหม่และความท้าทายที่องค์กรต้องเผชิญ 🚩ถกมุมมองเชิงลึกเกี่ยวกับ AI และบทบาทในการพลิกโฉม CX และ EX ทั้งในมิติของโอกาสใหม่และความท้าทายที่องค์กรต้องเผชิญ ดื่มด่ำกับ...

Continue reading
Veo 3 in Gemini

สร้างวิดีโอใน Gemini ง่าย ๆ ด้วย Veo 3

มีใครได้ลองใช้แล้วบ้างกับ Veo 3 ใน Gemini ? ล่าสุด Veo 3 ได้ถูกเพิ่มเข้ามายังแอป Gemini (Pro) อย่างเป็นทางการ สำหรับใครที่อยากสร้างวิดีโอได้โดยไม่ต้องเชื่อมต่อกับแอปอื่น Veo 3 ใน Gemini คือคำตอบ ! ก่อนอื่นมาทำความรู้จัก AI ตระกูล Veo กัน Google Veo คืออะไร ? Google Veo คือ โมเดล AI สำหรับการสร้างวิดีโอคุณภาพสูงที่พัฒนาโดย Google DeepMind ซึ่งเวอร์ชันปัจจุบัน คือ Veo 3 ที่ได้อัปเกรดเรื่องคุณภาพของวิดีโอ ความคมชัด ความสร้างสรรค์ และความสมจริง และเพื่อความสะดวกในการใช้งาน ปัจจุบัน Google ได้นำ Veo 3 มาผสานอยู่ในแอป Gemini สำหรับผู้ใช้บริการ Gemini Pro ซึ่งคุณสามารถใช้งานได้ฟรีโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม (ข้อมูลอัปเดต ณ วันที่ 8 สิงหาคม 2025) อยากสร้างวิดีโอให้มีคุณภาพ ต้องทำอย่างไร ? หัวใจสำคัญในการสร้างวิดีโอให้มีคุณภาพและตรงตามความต้องการ คือ การเขียน “Prompt ที่มีประสิทธิภาพ” ซึ่งหลักการสร้างวิดีโอโดยทั่วไป คุณจะต้องรู้วิธีการเขียนสคริปต์ เช่น การแบ่งฉาก กำหนดเนื้อหา กำหนดรูปแบบวิดีโอ Mode & Tone Hook และ Call to Action (ถ้ามี) หรือหากคุณไม่ถนัดการเขียนสคริปต์ คุณก็สามารถให้ Gemini ช่วยเขียนได้ เพียงแค่อธิบายสิ่งที่คุณต้องการอย่างละเอียดเพื่อให้ Gemini เข้าใจคำสั่งและสร้างสรรค์เนื้อหาได้ตรงตามต้องการนั่นเอง คำแนะนำ: คุณสามารถใช้ Gem manager เพื่อกำหนดบทบาทให้ Gemini...

Continue reading
Major Cineplex (Braze Customer Story)

บทสัมภาษณ์ Major Cineplex: มุ่งเป้ายกระดับประสบการ์ลูกค้า สู่การขายตั๋วผ่านแอป 100% แบบ Personalized ด้วย Braze

Demeter ICT ได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณเอิร์น (Sirintra Tangtrakulpaisan) จากทีม Application Growth, Cinema Marketing ของ Major Cineplex ถึงเบื้องหลังความสำเร็จในการใช้ Braze ยกระดับการจัดการข้อมูลลูกค้าและประสบการณ์แบบ Personalization พร้อมแชร์กลยุทธ์การตลาดที่ไม่ใช่แค่การ ‘ยิงแอด’ แต่คือการเข้าใจลูกค้าอย่างแท้จริง มาดูว่าพวกเขาเปลี่ยนความท้าทายให้กลายเป็นโอกาสทางธุรกิจได้อย่างไร? หากคุณกำลังมองหา Martech Tool ที่ตอบโจทย์ทั้ง Retention, Personalization และ Performance Marketing แบบเรียลไทม์ บทความนี้ห้ามพลาด! ความท้าทายและอุปสรรคของ Major Cineplex ทีมการตลาดของ Major Cinplex ได้เผชิญกับปัญหาจากแพลตฟอร์ม CDP เดิมที่ขาดความยืดหยุ่น ทำให้เข้าถึงข้อมูลลูกค้าได้ยาก ไม่แม่นยำและซ้ำซ้อน ส่งผลให้การตั้งค่าแคมเปญมีข้อผิดพลาดบ่อยครั้ง อีกทั้งข้อจำกัดด้านทีม Developer และ Project Owner ทำให้ทีมการตลาดต้องตรวจสอบและแก้ปัญหากันเอง ซึ่งล่าช้าและไม่ทันต่อความต้องการของลูกค้าแบบ Real-time กลยุทธ์ของ Major Cineplex หลังใช้ Braze หลังจากเริ่มใช้ Braze ทีม Major Cineplex ได้ปรับกลยุทธ์เพื่อผลักดันให้ลูกค้ามาซื้อตั๋วผ่านแอปพลิเคชันแบบ 100% โดยเน้นเปลี่ยนผู้ใช้งานที่แค่เข้ามาดูรอบหนัง (Active users) ให้กลายเป็นผู้ซื้อ (Purchaser) ผ่านกลยุทธ์ที่หลากหลาย เช่น การมอบสิทธิพิเศษต่าง ๆ ที่เหมาะกับลูกค้าแต่ละกลุ่ม และใช้ข้อมูลลูกค้าที่ได้จาก Braze ในการทำ Retargeting เพื่อลดต้นทุนโฆษณาและเพิ่มประสิทธิภาพให้แคมเปญการตลาดเป็นต้น และเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับกลยุทธ์นี้ ทางทีมของ Major Cineplex ยังมีแผนใช้ฟีเจอร์ Content Cards ในการสร้าง Product Catalog และฟีเจอร์ AI Recommendation ของ Braze เพื่อแนะนำหนังหรือโปรโมชันที่ตรงใจกับลูกค้าคนนั้น ๆ แบบ Personalized ผลลัพธ์ของ...

Continue reading