ใครๆ ก็รู้จัก WeChat เพราะ WeChat ได้เปรียบเสมือนเป็นอวัยวะอีกชิ้นหนึ่งของคนจีนไปแล้ว ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา WeChat เป็นแพลตฟอร์มหลักที่นำการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของจีน เป็น “เมกะแอป” ที่รวมเอาฟีเจอร์ที่ประสบความสำเร็จของแพลตฟอร์มตะวันตกและจีนส่วนใหญ่ไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นบทความแบบบล็อก ประสบการณ์แบบโต้ตอบทางดิจิทัล การโอนเงินและชำระเงินผ่าน WeChat Pay การขายสินค้าผ่านอีคอมเมิร์ซและการจองตั๋วผ่านอีบุ๊กด้วย WeChat Mini Programs โมเมนต์ (Moments พื้นที่เสมือนสำหรับแบ่งปันข้อมูลอัปเดตประจำวัน) Channels (สำหรับเนื้อหาที่เน้นภาพ) การสตรีมสด โซลูชันสำหรับองค์กร แม้แต่เครื่องมือค้นหา และอื่นๆ อีกมากมาย WeChat ได้เป็นโซเชียลมีเดียของจีนที่ได้พิสูจน์ความสำเร็จในฐานะแพลตฟอร์มหลักสำหรับการสร้างเนื้อหาผ่านบทความและช่องทางต่างๆ สำหรับการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าในประเทศจีนผ่าน WeChat Official Account ซึ่งกลยุทธ์ที่ Tencent (เจ้าของ WeChat) วางไว้ก็คือการส่งเสริมการพัฒนา Miniprogram ใน WeChat (หรือ Application ใน WeChat อีกที) ปัจจุบัน Miniprogram ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของผู้ใช้ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาฟีเจอร์ล้ำยุค การจ่ายเงินด้วย WeChat Pay และทำให้ WeChat Search กลายเป็นฟังก์ชั่นยอดนิยมของผู้ใช้ ซึ่ง Miniprogram ได้เข้ามาแทนที่การโหลด Application บนโทรศัพท์มือมือถือ แต่ให้ไปใช้งาน Application บน Miniprogram ที่อยู่ใน WeChat ซึ่งแบรนด์ต่างๆ ก็นิยมการพัฒนา Miniprogram กันอย่างแพร่หลาย เพื่ออำนวยความสะดวกกับผู้ใช้งาน คลิ๊กที่นี่สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับ WeChat Official Account WECHAT MARKETING คืออะไร มาทำความเข้าใจระบบนิเวศน์ของ WeChat กันก่อน ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา การตลาดและการโฆษณาของ WeChat มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย ด้วยการถือกำเนิดของแอปโซเชียลมีเดียใหม่ๆ ซึ่งเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า WeChat ได้กลายเป็นแอปในชีวิตประจำวันของคนจีนไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเทรนด์ในปัจจุบันของการนำ WeChat Official...
Continue readingCXBOX ปลดล็อกพลังของ Zendesk เพิ่มประสบการณ์ลูกค้าและยอดขาย
CXBOX เป็นโซลูชันที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของ Zendesk ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มบริการลูกค้าที่ได้รับความนิยมอันดับ 1 ของโลก โดย CXBOX จะเชื่อมต่อ Zendesk กับช่องทางโซเชียลมีเดียและแพลตฟอร์ม ECommerce ของลูกค้า เช่น Shopee, Lazada หรือ Shopify รวมไปถึงการส่งแคมเปญการตลาดและสนทนากับลูกค้าผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียแบบไร้รอยต่อ ช่วยให้ธุรกิจของคุณสามารถมอบประสบการณ์ลูกค้าที่ยอดเยี่ยมและขับเคลื่อนการเติบโตของยอดขาย คุณสมบัติหลักของ CXBOX 1. การเชื่อมต่อแชทและข้อมูลการขายกับ Marketplace CXBOX เชื่อมต่อกับแพลตฟอร์ม Marketplace หลักอย่าง Shopee และ Lazada ได้อย่างเรียลไทม์ การเชื่อมต่อนี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถรวมข้อมูลลูกค้าจากช่องทางต่าง ๆ ได้ ทำให้ทีมบริการลูกค้าสามารถแชทกับลูกค้าได้อย่างครบวงจร ทีมบริการลูกค้าสามารถเข้าถึงประวัติการซื้อและข้อมูลที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ บนหน้าจอ Zendesk ได้ โดยไม่จำเป็นต้องสลับไปมาระหว่างหน้าจอ Zendesk และหน้าจอ Marketplace 2. การส่งแคมเปญการตลาดไปยังช่องทางโซเชียลแชทของลูกค้า CXBOX ช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างและส่งแคมเปญการตลาดไปยังช่องทางโซเชียลแชทเดียวกับที่ลูกค้าพูดคุยกับฝ่ายบริการลูกค้าได้โดยตรง ด้วยการใช้ประโยชน์จากข้อมูลการสนทนาในอดีต ธุรกิจสามารถปรับแต่งข้อความการตลาดให้ตรงกับความต้องการและความชื่นชอบของลูกค้าแต่ละราย 3. การสลับการสนทนาอย่างมีประสิทธิภาพ CXBOX ทำให้กระบวนการโอนการสนทนาระหว่างทีมบริการลูกค้าและแผนกอื่น ๆ ง่ายขึ้น ลูกค้าสามารถดำเนินการแชทกับแบรนด์อย่างราบรื่นโดยไม่ต้องยุ่งยากกับการเปลี่ยนช่องทาง ซึ่งช่วยให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ราบรื่นและต่อเนื่อง ประสบการณ์ลูกค้าที่ดี (Customer Experience) หรือ CX มีผลกับยอดขาย ผลจากการวิจัยนั้นแสดงให้เห็นความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างประสบการณ์ลูกค้าที่ยอดเยี่ยมและยอดขายที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ตามข้อมูลของ Forrester แบรนด์ที่ประสบความสำเร็จในด้าน CX จะสร้างรายได้มากกว่าแบรนด์ที่ตามหลังถึง 5.7 เท่า และจากการวิจัยของ McKinsey พบว่าแคมเปญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของ CX สามารถนำไปสู่การเติบโตของรายได้สูงถึง 10% และลดต้นทุนได้ 25% ภายในเวลาไม่กี่ปี ไม่เพียงเท่านี้ การศึกษาวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Harvard Business Review ยังเผยให้เห็นว่าลูกค้าที่มีประสบการณ์ในอดีตที่ดีจะซื้อสินค้าหรือบริการมากกว่าลูกค้าที่เคยมีประสบการณ์เชิงลบถึง 140% ซึ่งเน้นย้ำถึงความสำคัญของการลงทุนในการสร้างประสบการณ์ลูกค้า (CX) เพื่อขับเคลื่อนความสำเร็จทางธุรกิจในระยะยาว โดยสรุป CXBOX นำเสนอโซลูชันที่ครอบคลุมสำหรับธุรกิจที่ต้องการยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า เพิ่ม Engagement และเพิ่มยอดขาย...
Continue readingรู้จัก Kanban Boards คืออะไร? เครื่องมือสร้าง Work Management อย่างมีประสิทธิภาพ
เลือกอ่านหัวข้อที่คุณต้องการได้เลย! Kanban Boards คืออะไร? Kanban Boards คือ เครื่องมือที่ช่วยจัดการงานทั้งหมดของโปรเจกต์หรือของบุคคลนั้น ๆ เป็นเหมือนกระดานที่แบ่งออกเป็นคอลัมน์ เพื่อแสดงขั้นตอนการทำงานของแต่ละงาน โดยแต่ละงานจะถูกแสดงเป็นการ์ด (Card) ที่ระบุรายละเอียดของงาน เช่น ชื่องาน ผู้รับผิดชอบ กำหนดเวลา เป็นต้น ช่วยให้ทีมมองเห็นภาพรวมของงานทั้งหมด ระบุคอขวดที่กำลังเป็นอุปสรรค และจัดลำดับความสำคัญของงาน การ์ดเหล่านี้จะถูกย้ายไปตามคอลัมน์ต่าง ๆ เพื่อแสดงสถานะของงานว่ากำลังอยู่ในขั้นตอนใด เช่น To Do: งานที่ยังไม่ได้ทำ In Progress: งานที่กำลังดำเนินการอยู่ Done: งานที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว ที่มาของ Kanban Boards จากสายการผลิตสู่การจัดการโปรเจกต์ Kanban Boards มีต้นกำเนิดมาจากระบบการผลิตของบริษัท Toyota ในช่วงทศวรรษที่ 1940 โดย Taiichi Ohno ซึ่งเป็นวิศวกรชาวญี่ปุ่น ได้คิดค้นระบบนี้ขึ้นมาเพื่อใช้ในการจัดการสายการผลิต เพื่อควบคุมและจัดการงานและสินค้าคงคลังในทุกขั้นตอนของการผลิตอย่างเหมาะสมที่สุด ซึ่ง Kanban (คัมบัง) เป็นภาษาญี่ปุ่น แปลว่าการ์ด (Card) หรือก็คือ Card Board นั่นเอง แนวคิดหลักของ Kanban คือ การใช้บัตร (Card) หรือการ์ดขนาดเล็กเพื่อแสดงถึงปริมาณงานที่แต่ละขั้นตอนของกระบวนการผลิตสามารถดำเนินการได้ เมื่องานหนึ่งเสร็จสิ้น บัตรนั้นจะถูกย้ายไปยังขั้นตอนต่อไป ทำให้ผู้ผลิตสามารถเห็นภาพรวมของกระบวนการผลิตทั้งหมดได้อย่างชัดเจน และช่วยให้สามารถปรับปรุงกระบวนการผลิตได้อย่างต่อเนื่อง ต่อมาแนวคิดของ Kanban ได้ถูกนำมาประยุกต์ใช้ในการจัดการโปรเจกต์ (Project Management) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการพัฒนาซอฟต์แวร์ เนื่องจาก Kanban สามารถช่วยให้ทีมงานเห็นภาพรวมของโครงการได้อย่างชัดเจน และช่วยให้ทีมงานสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เครื่องมือ Kanban Boards เหมาะกับใคร? Kanban Boards เป็นเครื่องมือที่ใช้งานได้หลากหลายและมีประโยชน์ต่อบุคคลและทีมงานในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรขนาดใหญ่หรือเล็ก หรือแม้แต่บุคคลทั่วไปที่ต้องการจัดการงานส่วนตัว แต่ถ้าพูดถึง First Priority สำหรับทีมหรือคนที่ต้องมีไว้ใช้งาน เช่น ทีมที่ทำงานแบบ Agile: Kanban เป็นหนึ่งในวิธีการทำงานแบบ Agile...
Continue readingลาขาดปัญหาเอกสารค้าง! ขออนุมัติลายเซ็นได้รวดเร็วยิ่งขึ้นด้วย Google Docs และ AppSheet
หากต้องรอหัวหน้าเซ็นเอกสารนานๆ ลองใช้วิธีนี้สิแล้วจะไม่บั่นทอนกำลังใจในการทำงานแน่นอน! Demeter ICT ได้คัดมาแล้วว่า 2 วิธีนี้จะช่วยให้การขออนุมัติลายเซ็นจากหัวหน้านั้นมีความรวดเร็วมากขึ้นจริง อนุมัติจากที่ไหนก็ได้เลย สะดวกมาก ๆ ขออนุมัติลายเซ็นบนเอกสารด้วย eSignature จาก Google Docs ขออนุมัติลายเซ็นบนแอปพลิเคชันจาก AppSheet ซึ่งสองวิธีนี้คุณสามารถกำหนดข้อมูลได้เองเลยไม่ว่าจะเป็น คำนำหน้าชื่อ ชื่อ ลายเซ็น วันที่ หรืออื่น ๆ จากนั้นส่ง Request แล้วรออนุมัติได้เลยทันที ง่าย ๆ เพียงไม่กี่ขั้นตอน มีวิธีทำอย่างไร ไปดูกัน! วิธีที่ 1 การตั้งค่า E signature บน Google Docs เปิดหน้าเอกสารบน Google Docs แล้วนำเมาส์คลิกไปที่ส่วนที่คุณต้องการจะให้มีลายเซ็น ไปยัง Insert ในแท็บเมนูด้านบน คลิก eSignature fields 4. หากเริ่มใช้งานครั้งแรก ให้คุณตั้งชื่อเจ้าของลายเซ็นที่คุณต้องการขออนุมัติ (ชื่อหัวหน้า) หากเคยใช้งานแล้วก็สามารถเลือกชื่อที่คุณเคยสร้างไว้ได้เลย 5. เลือกรูปแบบข้อมูลที่คุณต้องการ ตัวอย่างเช่น ในเอกสารนี้คุณต้องการ ‘ลายเซ็นและวันที่’ จากนั้นกด Request eSignature และในเอกสารของคุณจะขึ้นแบบนี้ 6. เมื่อมีหน้าต่างปรากฏขึ้นดังภาพ ให้คุณใส่อีเมลของผู้อนุมัติลงไป (อีเมลของหัวหน้า) ซึ่งคุณยังสามารถใส่คำอธิบายเกี่ยวกับเอกสารนั้นเพิ่มเติมได้ ตัวอย่างเช่น เมื่อคุณทำตามขั้นตอนด้านบนเรียบร้อยแล้วอีเมลของคุณจะถูกบันทึกเป็นไฟล์ PDF แล้วส่งไปยังผู้อนุมัติซึ่งหลังจากนี้คุณจะไม่สามารถแก้ไขข้อมูลใดๆ ของเอกสารได้ และเมื่ออีเมลได้ถูกส่งไปยังหัวหน้าของคุณ เขาจะสามารถใส่ข้อมูลตามที่คุณได้ระบุไว้เท่านั้น ซึ่งเมื่อหัวหน้าทำการเซ็นเอกสารเรียบร้อยแล้ว ก่อนกดตกลง Google Docs + PDF จะขอยืนยันอีกครั้งว่าเจ้าของลายเซ็นอนุญาตให้ใช้ลายเซ็นนี้เพื่อเอกสารฉบับนี้ใช่หรือไม่ จากนั้นกดตกลง ตัวอย่างเอกสารที่จะปรากฏที่ผู้อนุมัติ เมื่อหัวหน้าของคุณกด Complete คุณจะได้รับเอกสารที่เป็นไฟล์ PDF ส่งกลับมายังอีเมลของคุณเป็นอันเสร็จเรียบร้อย วิธีที่ 2 การสร้างแอปพลิเคชันสำหรับการขออนุมัติลายเซ็นบน AppSheet สร้างไฟล์บน Google Sheets แล้วกำหนดชื่อคอลัมน์ตามต้องการ (เช่น...
Continue reading4 เทคนิคจัดการ Gmail ให้เป็นระบบแบบมือโปร จาก Google Advisor มาเอง!
ทุกวันนี้กล่องจดหมายของเรามักจะเต็มไปด้วยอีเมลจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นอีเมลจากเพื่อนร่วมงาน ลูกค้า หรือแม้แต่สแปม จนบางครั้งเราอาจจะพลาดอีเมลสำคัญๆ ไป หากคุณเป็นอีกคนที่ไม่รู้จะเริ่มจัดการอย่างไร ปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการจัดการอีเมลอย่างเป็นระบบ เพราะการจัดการอีเมลไม่ได้เป็นเพียงแค่การจัดเรียงอีเมลให้สวยงามเท่านั้น แต่เป็นการลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ช่วยให้คุณประหยัดเวลาและลดความยุ่งยากในการหาอีเมลได้ดีทีเดียว บทความนี้จะมาแชร์วิธีจัดระเบียบอีเมล ใน Gmail ของ Laura Mae Martin, Google’s executive productivity advisor ว่าเธอมีเทคนิคการจัดการอีเมลใน Gmail อย่างไร วิธีที่ 1 : จัดการอีเมลที่ไม่ต้องการ เคยรู้สึกไหมว่า เวลาเปิดอีเมลทีไรเจออีเมลเพียบ จนไม่รู้จะเริ่มอ่านอันไหนก่อน อีเมลเยอะ ๆ เนี่ยแหละเป็นสิ่งที่ทำให้งานเราสะดุดได้ และอาจทำให้เราตกหล่นอีเมลที่สำคัญไป เพื่อให้เราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลองเริ่มต้นด้วยการหาอีเมลที่ไม่จำเป็นต้องอ่าน เช่น อีเมลโฆษณา อีเมลแจ้งข่าวสารที่เราไม่สนใจ เป็นต้น จากนั้นให้คุณลองทำตามวิธีดังนี้ บล็อกผู้ส่ง: ถ้ามีผู้ส่งรายใดส่งอีเมลมารบกวนบ่อย ๆ ก็สามารถบล็อกผู้ส่งนั้นได้เลย วิธีบล็อกผู้ส่ง ไปที่กล่องจดหมายใน Gmail เปิดอีเมลที่เราต้องการบล็อก คลิกที่ More หรือ จุดสามจุด แล้วเลือก Block บล็อกอีเมลสแปม: เพียงแค่ทำเครื่องหมายอีเมลที่เป็นสแปม ระบบของ Gmail จะช่วยเรียนรู้และบล็อกอีเมลประเภทนี้ออกไปโดยอัตโนมัติ วิธีทำเครื่องหมายเป็นสแปม ไปที่กล่องจดหมายใน Gmail เปิดอีเมลที่เราต้องการแจ้งว่าเป็นสแปม คลิกที่ More หรือ จุดสามจุด แล้วเลือก Report spam วิธีที่ 2 : ทำสัญลักษณ์อีเมลสำคัญ กล่องจดหมายที่ไม่มีการจัดระเบียบก็เปรียบเสมือนลิ้นชักที่เต็มไปด้วยสิ่งของมากมายที่อยู่ปะปนกันเต็มไปหมด ฉะนั้นเราจึงต้องมีการจัดระเบียบลิ้นชักเพื่อให้การค้นหาสิ่งของง่ายขึ้น เช่นเดียวกันกับการแยกประเภทอีเมลในกล่องจดหมายด้วยการทำสัญลักษณ์หรือจัดเข้าหมวดหมู่ที่เหมาะสมเพื่อให้ง่ายต่อการค้นหา สามารถทำได้ด้วยวิธีการสร้างป้ายกำกับ (Label) ติดที่อีเมลสำคัญ เช่น ใช้ป้ายกำกับ “VIP” ด้วยสีแดง สำหรับอีเมลจากเจ้านาย ลูกค้า หรืออีเมลที่ต้องตอบกลับด่วน เป็นต้น วิธีสร้างป้ายกำกับ (Label) ไปที่หน้าต่าง Gmail ที่แถบเมนูทางด้านซ้ายของหน้าต่าง ให้คลิก สร้างป้ายกำกับใหม่ (Create...
Continue readingGoogle ประกาศข่าวดี! สำหรับกลุ่มผู้ใช้งาน Business Starter สร้าง Shared drives ได้แล้วในเดือนนี้!
ประกาศข่าวดีล่าสุดจาก Google! เพื่อเป็นการมอบประสบการณ์การเข้าถึงพื้นที่จัดเก็บไฟล์ร่วมกันขององค์กรบนคลาวด์ Google จึงได้ขยายสิทธิ์การเข้าใช้งาน Shared drives ใน Google Drive ให้กับผู้ใช้งาน Google Workspace ในแพกเก็จ Business Starter โดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม (จากเดิมที่เข้าใช้งานได้เฉพาะแพกเก็จ Business standard, Business plus, และ Enterprise เท่านั้น) ซึ่งจะสามารถเริ่มเข้าใช้งาน Shared drives ได้ในวันที่ 23 กันยายน 2567 นี้ Shared drives เปรียบเสมือนไดรฟ์ส่วนกลางขององค์กรที่มีไว้สำหรับรวบรวมไฟล์และเอกสารของทีมงานหรือโปรเจกต์ต่างๆไว้ในที่เดียว ทำให้พนักงานที่เกี่ยวข้องสามารถเข้าถึงและค้นหาข้อมูลได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว ผู้ใช้งานสามารถสร้างไดรฟ์ส่วนกลางและเพิ่มสมาชิกในไฟล์และโฟล์เดอร์ได้ด้วยตนเอง โดยการควบคุมสิทธิ์การเข้าถึงไฟล์และโฟลเดอร์ทั้งหมดแจะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของผู้ดูแลระบบ Google Workspace ขององค์กร ความสำคัญอีกประการหนึ่งของ Shared drives คือการช่วยรักษาข้อมูลองค์กรให้คงอยู่ แม้ว่าสมาชิกในทีมจะมีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่ง หรือออกจากองค์กรไปแล้วก็ตาม ทำให้ข้อมูลสำคัญยังคงถูกเก็บรักษาไว้ในที่เดียว และสามารถเข้าถึงได้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้การทำงานร่วมกันเป็นไปได้อย่างราบรื่น และองค์กรสามารถบริหารจัดการข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นเช่นกัน (ทำความรู้จัก Shared drives เพิ่มเติมได้ที่บทความ Shared drives ใน Google Drive คืออะไร ? ทำอะไรได้บ้าง ?) สำหรับผู้ดูแลระบบ Google Workspace ขององค์กรของท่าน สามารถดูรายละเอียดการตั้งค่า Shared drives ได้ที่นี่ หากท่านมีข้อสงสัยหรือคำถามเพิ่มเติม สามารถติดต่อ Demeter ICT ได้เลยทันที แหล่งที่มา: Business Starter customers will soon have access to shared drives...
วิธีอัปโหลดไฟล์บน Gemini Apps ให้ Gemini ช่วยวิเคราะห์แทน
เดี๋ยวนี้จะทำอะไรก็ต้องแข่งกับเวลาทั้งนั้น การทำงานของคุณก็เช่นกัน เคยไหม? เมื่อมีข้อมูลไฟล์มากมายแต่มีเวลาไม่มากพอในการอ่านหรือทำความเข้าใจ บอกเลยว่า Gemini เป็นผู้ช่วยคุณได้ดีเลยทีเดียว ไม่ว่าไฟล์นั้นจะมีเนื้อหาที่ยาวเหยียดและซับซ้อนขนาดไหน Gemini ก็ช่วยวิเคราะห์และสรุปใจความสำคัญทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย รวมถึงการระบุข้อมูลเชิงลึกและให้คำแนะนำต่างๆที่คุณต้องการ เพียงอัปโหลดไฟล์ของคุณที่ Gemini Apps >> gemini.google.com โดยไฟล์อัปโหลดที่รองรับมีดังนี้ ไฟล์เอกสาร (Document and text files) TXT, DOC, DOCX, PDF, RTF, DOT, DOTX, HWP, HWPX และ Google Docs ไฟล์ข้อมูล (Data Files) XLS, XLSX, CSV, TSV และ Google Sheets สิ่งที่ต้องรู้ สามารถอัปโหลดไฟล์พร้อมกันได้สูงสุด 10 ไฟล์ต่อครั้ง และแต่ละไฟล์ต้องมีขนาดไม่เกิน 100 MB ผู้ใช้งานจะสามารถอัปโหลดไฟล์จาก Google Drive ได้ก็ต่อเมื่อมีสิทธิ์เป็นเจ้าของไฟล์ หรือต้องเป็นผู้ที่ได้รับการแชร์จากไฟล์นั้นเท่านั้น วิธีอัปโหลดไฟล์ให้ Gemini ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลพร้อมตัวอย่าง 1. ไปที่ gemini.google.com2. ไปที่แถบ Enter a prompt for Gemini และ คลิก Add files3. เลือกประเภทการอัปโหลดที่ต้องการ เช่น Upload images, Upload files หรือ Add from Drive4. จากนั้นพิมพ์ prompt หรือคำสั่งที่ต้องการเพื่อให้ Gemini เริ่มวิเคราะห์ข้อมูล ตัวอย่าง: การอัปโหลดไฟล์นำเสนอ เพื่อให้ Gemini ช่วยสรุปใจความสำคัญของสไลด์ ตัวอย่าง: การอัปโหลดไฟล์เอกสารเพื่อให้ Gemini ช่วยแนะนำวิธีการเขียนให้ดีขึ้น และนี่ก็คือวิธีอัปโหลดไฟล์พร้อมตัวอย่างเพื่อให้ Gemini ช่วยสรุปและวิเคราะห์ข้อมูล...
Continue reading5 Marketing Trends สำหรับธุรกิจ Financial Services ในปี 2024 ที่น่าจับตามอง
ธุรกิจที่ให้บริการทางด้านการเงินกำลังได้รับประโยชน์จากการใช้กลยุทธ์การตลาดที่มีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จมากขึ้นด้วยกลยุทธ์การตลาดที่เน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ซึ่งช่วยให้พวกเขาได้รับผลลัพธ์ที่โดดเด่น พวกเขาใช้การแบ่งกลุ่มลูกค้าที่ละเอียดลึกซึ้งมากขึ้น โดยอาศัยข้อมูลที่เก็บมาจากลูกค้าเองโดยตรง (Zero-Party Data) ในการวางแผนแคมเปญการตลาดที่เฉพาะตัว (Personalized Marketing) นอกจากนี้ธุรกิจเหล่านี้ยังทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดทั่วทั้งองค์กร ไม่ใช่แค่ฝ่ายการตลาดเท่านั้น แต่ทุกแผนกในองค์กรจะร่วมมือกันเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีและเพื่อเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของลูกค้า สำหรับปี 2024 มีแนวโน้มการตลาดในด้านการเงินที่น่าสนใจหลายอย่าง ซึ่งสรุปจากรายงาน Global Customer Engagement Review (CER) ของ Braze เราจะมาดูกันว่าเทรนด์การตลาดที่น่าจับตามองสำหรับธุรกิจที่ให้บริการด้านการเงินเหล่านี้มีอะไรบ้าง? และนักการตลาดสามารถสร้างความล้ำหน้าให้กับองค์กรของคุณให้เติบโตไปข้างหน้าได้อย่างไร? 5 Marketing Trends สำคัญสำหรับธุรกิจ Financial Services 1. จำเป็นต้องมีเครื่องมือและทักษะที่เหมาะสม เพื่อใช้ประโยชน์จากข้อมูลในการเพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น ธุรกิจด้านการเงินจะได้ประโยชน์จากการที่ทีมการตลาดทำงานร่วมกับทีม Data Scientists และ BI (Business Intelligence) เพราะทีมเหล่านี้จะช่วยให้นักการตลาดเข้าใจข้อมูลลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น และนำข้อมูลไปใช้ในการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การทำโปรโมชันที่ตรงใจลูกค้ามากขึ้นหรือการสื่อสารกับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ การเพิ่มทักษะด้านข้อมูลให้กับนักการตลาดเองก็สำคัญเช่นกัน เพราะจะทำให้นักการตลาดสามารถวิเคราะห์ข้อมูลและตัดสินใจได้เองโดยไม่ต้องพึ่งพาทีมอื่นมากเกินไป การให้เครื่องมือที่ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลและแนะนำการตลาด แก่นักการตลาดก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้นักการตลาดทำงานได้ง่ายขึ้น และลดช่องว่างด้านทักษะในองค์กร 2. ใช้ช่องทางที่หลากหลายและเหมาะสมในการสื่อสารกับลูกค้า จะช่วยให้ลูกค้ามีส่วนร่วมและกลับมาใช้บริการบ่อยขึ้น ข้อมูลจาก Braze บอกว่า การส่งอีเมลหรือแจ้งเตือนผ่านมือถือ (Push notification) นั้นได้ผลดีในการดึงดูดลูกค้าให้กลับมาใช้งานบนแอปพลิเคชัน นอกจากนี้ การใช้หลายช่องทางในการส่งแคมเปญไปพร้อม ๆ กัน ทั้งในแอปพลิเคชันและนอกแอปพลิเคชัน (เช่น อีเมล, SMS) แบบ Cross-Channel Messaging ก็จะยิ่งทำให้ลูกค้ามีส่วนร่วมและอยู่กับเราได้นานขึ้นอีกด้วย 3. เริ่มให้ความสำคัญในด้านของความคิดสร้างสรรค์ของแคมเปญการตลาดที่มากขึ้น ปัญหาหลักของนักการตลาดของธุรกิจด้านการเงิน คือ ขาดเครื่องมือที่ทันสมัย ในการเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์และการออกแบบกลยุทธ์ทางการตลาดให้เป็นไปตามที่ต้องการ นักการตลาดหลายคนในวงการด้านการเงินบอกว่า เครื่องมือที่พวกเขามีอยู่ตอนนี้ ไม่สามารถช่วยให้คิดไอเดียใหม่ ๆ ที่สร้างสรรค์ตามที่ตัวเองต้องการได้อย่างเต็มที่ ซึ่งสิ่งที่เป็นอุปสรรค ก็คือ เน้นผลลัพธ์ตัวเลขมากเกินไป: ธุรกิจประเภทนี้มักจะให้ความสำคัญกับตัวเลขต่าง ๆ เช่น ยอดขาย ยอดดาวน์โหลด มากกว่าที่จะให้ความสำคัญกับไอเดียใหม่ ๆ ที่อาจจะยังวัดผลได้ยากในตอนแรก วัดผลความคุ้มค่าของไอเดียยาก: นักการตลาดไม่สามารถพิสูจน์ได้ชัดเจนว่าไอเดียใหม่ ๆ ที่พวกเขาคิดขึ้นมานั้นจะสร้างผลกำไรให้กับองค์กรได้มากน้อยแค่ไหน...
Continue readingZendesk Meetup: Unleash the Full Potential of AI-Powered CX
Unleash the Full Potential of AI-Powered CX วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน 2024 เวลา 13.30 – 16.30 น. ณ Victor Club, Sathorn Square (BTS ช่องนนทรี) งานอีเวนต์ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมงาน รับจำกัดเพียง 40 ที่นั่งเท่านั้น! ปิดลงทะเบียนแล้ว Unleash the Full Potential of AI-Powered CX วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน 2024 เวลา 13.30 – 16.30 น. ณ Victor Club, Sathorn Square (BTS ช่องนนทรี) ลงทะเบียนเข้าร่วมฟรี เมื่อ AI เข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนธุรกิจ เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะพัฒนากลยุทธ์ประสบการณ์ลูกค้าเพื่อก้าวไปข้างหน้า ขอเรียนเชิญเข้าร่วมอีเวนต์สุด Exclusive ที่จะช่วยให้คุณยกระดับประสบการณ์ลูกค้าไปอีกขั้น กับงาน ‘Zendesk Meetup: Unleash the Full Potential of AI-Powered CX’ ซึ่งงานนี้ Demeter ICT ก็ได้ขนทัพ Speaker ผู้เชี่ยวชาญที่จะพาคุณอัปเดตความรู้ ค้นพบวิธีการสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่เหนือความคาดหมาย แบ่งปันแนวทางกลยุทธ์และไอเดียในการนำ AI ไปปรับใช้ในการส่งเสริมประสบการณ์ลูกค้าแบบเจาะลึก Highlights ห้ามพลาดในงานนี้ อัปเดตเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดและทิศทางของ Zendesk ในการยกระดับประสบการณ์ทั้งพนักงานและลูกค้า รับชมสาธิตเดโมและเล่าสู่กันฟังกับตัวอย่าง Case Study ที่น่าสนใจจากแบรนด์ชั้นนำ ✅ อัปเดตเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดและทิศทางของ Zendesk ในการยกระดับประสบการณ์ทั้งพนักงานและลูกค้า รับชมสาธิตเดโมและเล่าสู่กันฟังกับตัวอย่าง Case Study ที่น่าสนใจจากแบรนด์ชั้นนำ เปิดตัว CXBOX...
Continue reading