Federal Communications Commission

ปรับระบบทำงานแบบเก่าที่เต็มไปด้วยเอกสารและจดหมายมากมายให้ทันสมัยขึ้น FCC เลือก Zendesk เป็น SaaS Solution แรกแทนระบบการทำงานแบบเดิมที่อยู่มานานกว่า 15 ปี ...

Zendesk เผย Facebook Messenger ช่องทางการสื่อสารที่เติบโตมากที่สุดในวิกฤติโควิด-19

การส่งข้อความ หรือ Messaging เป็นช่องทางการติดต่อสื่อสารระหว่างลูกค้ากับร้านค้าที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก และยังมีแนวโน้มที่จะมากขึ้นไปอีกในอนาคต วันนี้ Demeter ICT จะมาเล่าว่าทำไมคุณถึงควรเลือก Facebook Messenger ในการสร้าง CX หรือประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าของคุณให้ได้รู้กัน ไปดูกันเลย! ก่อนอื่นต้องรู้ว่าทำไมต้องเป็น Facebook Messenger? หลาย ๆ คนอาจจะสงสัยว่าทำไมต้องเป็น Facebook Messenger ไม่ใช้ Line, Instagram หรือ Twitter ต่าง ๆ ด้วยผลสำรวจของ Zendesk Customer Experience Trends Report 2021 จากทาง Zendesk ที่เป็นผู้นำในการให้บริการด้าน Omnichannel Customer Service Software พบว่า Facebook Messenger เป็นแอปพลิเคชันรับส่งข้อความที่มีผู้ใช้เพิ่มขึ้นมากที่สุด โดยเพิ่มขึ้นเร็วกว่าช่องทางอื่น ๆ ในปี 2020 ที่ผ่านมา โดยเปอร์เซ็นต์ของลูกค้าที่ชอบใช้ Facebook Messenger ในการรับส่งข้อความเติบโตขึ้นถึง 110% ดู Zendesk Customer Experience Trends Report 2021 คลิก! จากสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมารวมถึงในตอนนี้ก็อาจจะเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลให้ลูกค้าหันมาใช้ช่องทาง Facebook Messenger และ Social Media ในการติดต่อสื่อสารกับร้านค้าและลูกค้ามากขึ้น ซึ่งธุรกิจก็ต้องเรียนรู้และรับมือกับพฤติกรรมลูกค้าที่เปลี่ยนไป ส่วนในมุมของธุรกิจเองการที่ลูกค้าเปลี่ยนช่องทางการติดต่อมาทางแชทหรือการส่งข้อความทางโซเชียลมีเดียนั้น ก็ช่วยลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการติดต่อสื่อสารไปได้อย่างมหาศาล นอกจากนี้ยังช่วยให้ทีม Customer Service & Support สามารถบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในคราวเดียว ต่างจากการพูดคุยโทรศัพท์แบบเดิม ๆ ที่สามารถคุยได้ครั้งละคนเท่านั้น ซึ่ง Zendesk ก็รับรู้ได้ถึงการเติบโตของ Facebook Messenger และการรับส่งข้อความผ่านทาง Social Media จึงได้ออกแบบฟีเจอร์มาเพื่อตอบโจทย์การทำงานของทีม Customer Service & Support...

Continue reading

5 ฟีเจอร์เด็ดของ Google Keep ที่คนจดโน้ตไม่ควรพลาด

Google Keep เป็นอีกหนึ่งบริการของ Google Workspace ที่มีไว้ช่วยจดโน้ตหรือบันทึกต่าง ๆ อย่างสะดวกสบาย พร้อมกับฟีเจอร์มากมายที่จะช่วยให้คุณจดโน้ตได้ง่ายขึ้น รวดเร็วแบบโปร พร้อมทั้งแชร์ให้กับคนอื่น ๆ ได้อีกด้วย ซึ่งวันนี้เราจะพาไปดูทั้ง 5 ฟีเจอร์เด็ดของ Google Keep ที่คนจดโน้ตไม่ควรพลาด 1. # แฮชแท็ก แบ่งหมวดหมู่และจัดกลุ่มโน้ต ฟีเจอร์นี้จะทำให้โน้ตและบันทึกต่าง ๆ เป็นระเบียบ หาง่าย โดยการใส่แฮชแท็กในโน้ต  เช่น #Work #Meeting ก็จะทำให้โน้ตของคุณถูกแบ่งไว้เป็นหมวด ๆ ตามที่ตั้งชื่อ เหมือนกับสร้าง Label ไว้ให้โน้ตนั่นเอง ซึ่งจะทำให้คุณหาโน้ตได้ง่ายขึ้นตามแฮชแท็กที่สร้างไว้ โดยค้นหาตามชื่อซึ่งอยู่ทางด้านซ้ายมือ  2. พิมพ์ไม่ทัน พูดเอาก็ได้ อีกหนึ่งฟีเจอร์เด็ดของ Google Keep คือ การถอดเสียงพูด โดยคุณสามารถพูดลงบนโน้ต และ Google Keep จะทำการพิมพ์ข้อความที่คุณพูดลงไปให้อัตโนมัติแบบเรียลไทม์ เรียกได้ว่า พูดปุ๊ป พิมพ์ลงให้ปั๊ป และเสียงที่พูดนั้นก็จะถูกบันทึกไว้ให้ในโน้ต ซึ่งสามารถเปิดฟังทีหลังได้อีกด้วย 3. พิมพ์แล้ว พูดแล้ว เขียนอีกก็ได้ ไม่ต้องไปอีกแอปเพื่อจดบันทึกโดยการเขียน ถ้าคุณไม่ถนัดพิมพ์ Google Keep สามารถให้คุณเขียนแทนการพิมพ์ได้ และยิ่งกว่านั้นคือเมื่อคุณเขียนเสร็จแล้ว สามารถถอดลายมือออกมาเป็นตัวหนังสือ ไม่ต้องเสียเวลามานั่งพิมพ์อีกรอบ 4. แปลงลายมือหรือข้อความในภาพเป็นตัวอักษร Google Keep สามารถแปลงข้อความในภาพหรือลายมือที่เราเขียนไว้ในโน้ตออกมาเป็นตัวอักษรได้ โดยที่คุณไม่ต้องนำภาพหรือสิ่งที่เขียนเอาไว้มาพิมพ์ลงโน้ตอีกรอบ ฟีเจอร์นี้ก็สร้างความสะดวกสบายสุด ๆ เพียงแค่คลิกไอคอน สามจุด > Grab Image Text (จับข้อความจากรูปภาพ) เท่านี้ข้อความในภาพทั้งหมดก็จะถูกถอดออกมาเป็นตัวหนังสือ สามารถ Copy ไปวางที่อื่นได้อีกด้วย  5. โน้ตเสร็จแล้ว แชร์ให้เพื่อน ฟีเจอร์นี้คล้ายกับการแชร์เอกสารใน Google Docs ที่คุณสามารถแชร์ให้กับเพื่อนร่วมงานหรือใครก็ได้ เพียงแค่ใส่อีเมลของคนที่คุณต้องการจะแชร์เข้าไป เท่านี้ก็จะสามารถเข้ามาดู แก้ไข หรือทำงานร่วมกันในโน้ตที่คุณสร้างขึ้นได้...

Continue reading

Upselling กับ Cross-selling คืออะไร? ส่องกลยุทธ์เพิ่มยอดที่นักขายห้ามพลาด

คุณเคยเดินเข้าไปในร้านอาหารตามสั่งแล้วคุณป้าถามว่า “อีกสิบบาทมั้ย ใส่ไข่ดาวเพิ่ม” รึเปล่า? เชื่อหรือไม่ แค่หลักการง่าย ๆ นี้ก็นับเป็นกลยุทธ์การขายแล้ว และในความเป็นจริงกลยุทธ์พวกนี้อยู่รอบตัวเรามากกว่าที่คุณคิด  ในบทความนี้ เราจะมารู้จักกับกลยุทธ์การขายที่ชื่อ Upselling และ Cross-selling อันเป็นกลยุทธ์พื้นฐานที่นักขายห้ามพลาดกัน Upselling คืออะไร? Upselling หรือ “การเพิ่มยอดขาย” ความหมายของมันคือการสนับสนุนให้ลูกค้าตัดสินใจใช้จ่ายมากกว่าที่ตั้งใจไว้ในตอนแรก ในขณะเดียวกันในแง่ของลูกค้าเองก็จะรู้สึกพึงพอใจมากขึ้นเมื่อได้ซื้อสินค้าที่มองว่าคุ้มค่ากว่าเดิม หรืออาจมีฟีเจอร์ของแถมเสริมเพิ่มเข้าไปด้วยเช่นเดียวกัน มีการวิจัยหนึ่งพบว่าบางครั้งเรื่องของ “ค่าใช้จ่าย” ก็ไม่ใช่ปัจจัยที่สำคัญที่สุดเสมอไป แต่เป็น “อารมณ์ความรู้สึก” ที่ใช้ในการตัดสินใจซื้อ และหากเมื่อรวมกับพฤติกรรมการซื้อของผู้คนสมัยนี้ที่มักเริ่มต้นจากหาข้อมูลก่อน แล้วค่อยนำมาเปรียบเทียบหาสินค้าหรือบริการที่จะตอบโจทย์ความต้องการได้มากที่สุด ท่ามกลางสินค้าจำนวนมากที่มีฟีเจอร์คล้ายคลึงกัน ถ้ามีสินค้าหนึ่งที่โดดเด่นขึ้นมาแม้จะมีราคาสูงกว่า ความคิดที่ว่า “แค่เพิ่มเงินอีกจำนวนหนึ่ง” ก็จะนำไปสู่การตัดสินใจซื้อได้แม้จะเป็นตัวเลขที่มากกว่าที่ตั้งใจไว้ในตอนแรกก็ตาม การใช้เทคนิค Upselling ไม่ควรใช้แบบบังคับ รบเร้าเกินไปจนเสียความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้า แต่ควรเป็นในแง่ของการนำเสนอคุณค่าหรือสิ่งที่ลูกค้าจะได้รับถ้าจ่ายมากกว่าเดิมให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น แล้ว Cross-selling คืออะไร? Cross-selling คือการขายสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวเนื่องกับสินค้าหลัก ยกตัวอย่างเวลาที่เราไปธนาคารเพื่อเปิดบัตรเดบิต พนักงานก็อาจจะเสนอขายสินเชื่อหรือประกันเสริมให้กับเรา กลยุทธ์ Cross-selling ถือเป็นอีกแนวทางที่จะช่วยเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจ และเป็นโอกาสให้เรานำเสนอสินค้าหรือบริการที่มีแนวโน้มว่าลูกค้าจะให้ความสนใจเพิ่มเติมเข้าไป  พนักงานขายที่ร้านไอทีอาจจะใช้ Cross-selling ครั้งแรกไปกับการนำเสนออุปกรณ์อื่น ๆ ที่ข้องเกี่ยวกันอย่างแล็ปท็อปกับเมาส์ ในส่วนของพนักงานซัพพอร์ตก็สามารถใช้หลัก Cross-selling หากว่าลูกค้าต้องการใช้ฟีเจอร์หนึ่งที่ซอฟต์แวร์ที่ตนเองใช้อยู่ไม่มี แต่ฟีเจอร์นั้นอยู่ในซอฟต์แวร์อีกตัวของแบรนด์ซอฟต์แวร์เดียวกัน สามารถสรุปได้ว่า Upselling คือการจูงใจให้ลูกค้ายอมจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อสินค้าที่อัพเกรดกว่าเดิม ขณะที่ Cross-selling คือการโน้มน้าวให้ลูกค้าซื้อสินค้าหรือบริการหนึ่งที่อาจเกี่ยวข้องกันได้นั่นเอง แล้วต้องทำอย่างไรถึงจะ Upselling กับ Cross-selling ให้ดีได้? แม้ทั้งสองกลยุทธ์นี้จะมีประโยชน์และสามารถเพิ่มยอดขายได้จริงในแง่ของธุรกิจ ทว่าหากมองในแง่ของลูกค้าขึ้นชื่อว่าต้องเสียเงิน อะไรที่รบเร้ามากเกินไปก็อาจพลอยให้เสียอารมณ์ขึ้นมาแทนได้เหมือนกัน ดังนั้นการวางแผนการตลาดและการขายให้ดี รู้จักใช้ Customer Journey หรือ Sale Pipeline เพื่อให้ใช้กลยุทธ์การขายเหล่านี้ได้ถูกจังหวะ (Touchpoint) จึงถือเป็นอะไรที่สำคัญอย่างมาก ในปัจจุบันมีเครื่องมือช่วยบริหารการขายอยู่มากมาย ทว่าหากพูดถึงเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพการขายที่ใช้ง่าย ตอบโจทย์ทั้งทีมขายและลูกค้าล่ะก็เราขอแนะนำ Zendesk Sell เครื่องมือนี้จะช่วยคุณเก็บบันทึกทุกข้อมูลของลูกค้า เห็นภาพรวมการขายมากขึ้น ช่วยให้คุณวิเคราะห์พฤติกรรมความต้องการของลูกค้าและใช้ทุกโอกาสที่มีอยู่ได้อย่างเต็มที่ อ่านข้อมูลเพิ่มเติมของ Zendesk Sell ได้ที่นี่เลย สุดท้ายนี้ไม่ว่าจะเป็น Upselling...

Continue reading

เพิ่มความปลอดภัยของบัญชี Google Workspace ด้วย 2 Step Verification

2 Step Verification คืออะไร ? 2 Step Verification คือ การยืนยันตัวตนในการลงชื่อเข้าใช้บัญชีอีเมลแบบ 2 ขั้นตอน โดยการใส่รหัสผ่านในขั้นตอนแรก หลังจากนั้นระบบจะมีการส่งรหัสไปยังโทรศัพท์มือถือที่ได้ทำการลงทะเบียนไว้ และนำรหัสนั้นมาใส่อีกครั้งเป็นขั้นตอนที่ 2 หากถูกต้อง เราจะสามารถเข้าใช้งานบัญชีอีเมลได้  ซึ่งมีความปลอดภัยค่อนข้างสูง มักจะใช้ในองค์กรขนาดใหญ่ หรือผู้ใช้งานทั่วไปที่ต้องการความปลอดภัยของบัญชี เพราะหากมีผู้ไม่หวังดีแอบรู้รหัสผ่านก็จะสามารถเข้าถึงบัญชีและข้อมูลทั้งหมดได้ทันที แต่หากเราเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้ จะทำให้เรารู้ทันทีหากมีใครพยายามแอบเข้าบัญชีอีเมลของเรา นั่นเป็นที่มาของคำว่า  “2 Step Verification หรือ การยืนยัน 2 ขั้นตอน”  แต่ในทางกลับกัน ผู้ใช้งานส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเปิดใช้ เนื่องจากมีความยุ่งยากพอสมควร เพราะต้องนำรหัสที่ได้รับมาพิมพ์เองอีกครั้ง คล้ายกับเวลาเราได้รับ OTP จากธนาคารนั่นเอง โดยทาง Google ได้เล็งเห็นปัญหานี้ จึงออกแบบระบบมาใหม่เพื่อที่จะทำให้บัญชีของเราได้รับการป้องกันอย่างปลอดภัย และยังใช้งานได้สะดวกมากยิ่งขึ้น  ออกแบบการใช้งานใหม่ ปลอดภัยยิ่งขึ้น หากเราเปิดใช้งาน การยืนยันบัญชีแบบ 2 ขั้นตอน (2 Step Verification) จากเดิมเราต้องใส่รหัสผ่านขั้นที่ 1 และใส่รหัสที่ได้รับทางโทรศัพท์มือถือ เป็นขั้นตอนที่ 2 บางคนอาจจะมองว่ายุ่งยากเกินไป   โดยทาง Google ได้มีการปรับปรุงการใช้งานให้มีความง่ายขึ้น ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 ใส่รหัสผ่าน และจะได้รับการแจ้งเตือนทางโทรศัพท์ที่ทำการลงทะเบียนไว้  ขั้นตอนที่ 2 เลือกคำตอบตามหน้าจอที่ได้มีการถามให้ถูกต้อง  เพียงเท่านี้เราก็จะสามารถเข้าบัญชีอีเมลของเราได้ ซึ่งจะสะดวกมากยิ่งขึ้นเพราะกดเพียงไม่กี่ปุ่ม แทนการนำรหัสหลายๆ ตัวมาใส่ และที่สำคัญไปกว่านั้นบัญชีของท่านก็ยังปลอดภัยขึ้นอีกระดับ ซึ่งผู้ที่ผูกบัญชีอีเมลกับธนาคารหรือรับส่งอีเมลที่มีข้อมูลเยอะไม่ควรพลาด และไม่ควรมองข้าม ดูเพิ่มเติม ได้ที่ เปิดใช้งานการยืนยันแบบ 2 ขั้นตอน  Google Workspace เพื่อการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ บริษัท ดีมีเตอร์ ไอซีที จำกัด ตัวแทนจำหน่าย Google Workspace ในประเทศไทย อย่างเป็นทางการ รายละเอียดแพ็กเกจและราคา Google Workspace 02 030...

Continue reading

อยากมี Self-Service ไว้ใช้งาน ต้องเริ่มอย่างไรดี?

หากว่าคุณมีข้อสงสัยที่อยากหาคำตอบให้ได้ คุณจะทำอะไรก่อนระหว่างติดต่อใครสักคนเพื่อสอบถาม หรือคลิกเข้า Google เพื่อลองหาคำตอบด้วยตนเอง? คำตอบของคำถามนี้ล้วนขึ้นอยู่กับความถนัด ความพึงพอใจของแต่ละคนที่ก็แตกต่างกันไป แต่ว่าทราบหรือไม่ว่าระยะหลังมานี้จากการสำรวจพบว่าผู้บริโภคอย่างเรา ๆ มีแนวโน้มจะหาคำตอบด้วยตนเองก่อนเพิ่มขึ้นอย่างมาก และเพราะแบบนั้น การบริการตนเองหรือ Self-Service ก็ได้กลายเป็นอีกหนึ่งมาตรฐานที่การบริการลูกค้าที่ดีควรจะมี ทว่าแล้ว Self-Service นี้มีกี่รูปแบบกันแน่ และเราจะนำไปปรับใช้กับช่องทางขององค์กรอย่างไรได้บ้างยังเป็นเรื่องที่หลายคนยังคงสับสนกันอยู่ ดังนั้นในบทความนี้ เราจะมาหาคำตอบของเรื่องนี้กัน 6 ช่องทางหลักของ Self-Service การบริการลูกค้าในปัจจุบันที่ Omnichannel ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญ ทำให้หลายองค์กรติดตั้งระบบ Self-Service ไว้ให้ลูกค้าใช้บริการตัวเองในหลายช่องทางมากขึ้นตามไปด้วย รวมเป็น 6 ช่องทางหลักได้ดังนี้ 1. หน้า FAQ (FAQ Page) FAQ ย่อมาจาก Frequently asked questions หรือคำถามที่พบบ่อย ในหน้า FAQ มักจะรวบรวมคำถามและคำตอบที่พบบ่อยไว้สำหรับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็น “มีนโยบายการคืนสินค้าอย่างไร?” แล้วตามด้วยคำอธิบายไม่ยาวมาก ข้อสำคัญสำหรับหน้า FAQ คือควรเรียบง่ายและกระชับ ได้ใจความเข้าไว้ FAQ ที่ดีจึงควรจะใส่ลิงก์เชื่อมโยงไปหน้าอื่นที่ข้อมูลแน่นกว่าในกรณีที่ลูกค้าอยากหาคำตอบที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น หรืออาจจะใส่เบอร์โทรสำหรับติดต่อเจ้าหน้าที่ หรือติดตั้งระบบไลฟ์แชทในหน้าเว็บเพื่อให้ลูกค้าสอบถามเจ้าหน้าที่เพิ่มเติมได้ตามต้องการ 2. ฐานความรู้หรือบทความในศูนย์ช่วยเหลือ (Knowledge base or Help center content) ระบบฐานความรู้เอไอ ช่วยตอบคำถามเชิงรุกให้กับลูกค้าโดยที่ลูกค้าไม่ต้องตามหาข้อมูลนาน โดยปกติในหน้าศูนย์ช่วยเหลือมักจะมีเครื่องมือค้นหาให้ลูกค้าคล้ายกับ Google ที่สามารถใช้ได้ทั้งในคอมพิวเตอร์และในโทรศัพท์มือถือ ยกตัวอย่าง FullStory knowledge base ที่ใช้ Zendesk เข้าช่วย ถือเป็นอีกตัวอย่างที่ดีสำหรับศูนย์ช่วยเหลือแบบอัจฉริยะ จะเห็นได้ว่าในช่องค้นหาจะขึ้นแนะนำบทความขึ้นมา และในหน้านี้ยังมีการแบ่งบทความตามหมวดหมู่ ประเภทของบทความหรือแม้แต่ลักษณะของผู้ใช้งาน ลูกค้าเพียงพิมพ์คำถามหรือปัญหาของตนเองลงไปก็จะขึ้นแสดงแนะนำบทความที่เหมาะสมให้ในทันที ฟีเจอร์นี้เองช่วยให้ทั้งลูกค้า วิศวกรหรือฝ่ายนักพัฒนาของ FullStory หาคำตอบที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว 3. บอร์ดสนทนา (Community forum) บอร์ดสนทนาเป็นพื้นที่ให้ผู้ใช้แลกเปลี่ยนคำถามคำตอบระหว่างกัน องค์กรสามารถรวมบอร์ดสนทนาไว้เป็นส่วนหนึ่งของฐานความรู้หรือเป็นพื้นที่แยกในหน้าเว็บไซต์ โดยปกติแล้วบอร์ดสนทนาจะมีแอดมินคอยเป็นผู้ดูแลอีกที มีเหตุผลหลายข้อที่ทำไมองค์กรถึงควรมีบอร์ดสนทนาไว้ แต่ที่ชัดเจนที่สุดก็เพราะบ่อยครั้งที่คนที่เข้าใจปัญหาของลูกค้ามากที่สุดก็คือลูกค้าด้วยกันเอง เพราะเป็นคนที่ได้ใช้สินค้าหรือบริการนั้น ๆ จริง ทำให้มองเห็นปัญหาที่บางครั้งนักพัฒนาเองก็มองข้าม...

Continue reading
storages-google-workspace-full

พื้นที่เก็บข้อมูลใน Google Workspace เต็ม ทำอย่างไรดี?

จากที่ Google ประกาศเปลี่ยนนโยบายการคิดพื้นที่แบบใหม่ ทำให้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2021 เป็นต้นไป ไฟล์งานเอกสารที่สร้างจาก Google Drive เช่น Docs, Sheets, Slides, Forms,, Jamboard และ Drawings จะถูกคิดพื้นที่ตามการใช้งานจริงทันที อ่านรายละเอียดการบริการของ Google ที่มีการคิดพื้นที่เก็บข้อมูล และวิธีการตรวจสอบดูว่าบัญชีของท่านใช้พื้นที่จัดเก็บข้อมูลไปเท่าไหร่ได้ที่บทความนี้ Google ประกาศคิดพื้นที่เก็บข้อมูล เตรียมตัวอย่างไรดี? ซึ่งถ้าหากท่านเป็นผู้ใช้งาน Google Drive และพื้นที่ในไดรฟ์เกิดเต็มขึ้นมา ท่านสามารถแก้ปัญหาได้โดยการซื้อพื้นที่เพิ่ม ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการซื้อพื้นที่ แต่ถ้าหากท่านใดไม่อยากเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม และคิดว่าลักษณะการใช้งานของท่านไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่มากนัก Demeter ICT ก็มีวิธีการจัดการไฟล์ให้เพียงพอต่อการใช้งาน และให้ท่านสามารถใช้งานได้ตามปกติ ดังนี้ 1. ลบอีเมลที่มีขนาดใหญ่บน Gmail เพื่อให้ได้พื้นที่กลับคืนมาอย่างรวดเร็ว ในช่องค้นหาให้พิมพ์ has:attachment larger:10M ซึ่งหมายความว่าเราจะหาอีเมลฉบับที่มีขนาดตั้งแต่ 10MB ขึ้นไป โดยหากท่านต้องการค้นหาไฟล์ที่มีขนาดใหญ่กว่านี้ ก็สามารถเพิ่มตัวเลขได้เลยตามต้องการ คลิกที่ไอคอนรูปแว่นขยายเพื่อค้นหาไฟล์  เลือกอีเมลที่ไม่ต้องการแล้วคลิกไอคอนรูปถังขยะเพื่อลบ จากนั้นที่เมนูด้านซ้ายให้คลิกที่เมนู ‘ถังขยะ หรือ Trash’ คลิก ‘ลบไฟล์ออกจากถังขยะอย่างถาวร หรือ Empty Trash now’ เพื่อลบข้อมูลออกจากถังขยะอย่างถาวร หมายเหตุ: ในกรณีที่ท่านเพียงแค่ย้ายไฟล์มาที่ถังขยะแต่ไม่ได้เลือกลบไฟล์ออกจากถังขยะอย่างถาวร หรือ Empty Trash now ไฟล์ทั้งหมดจะถูกลบอย่างถาวรโดยอัตโนมัติเมื่อครบ 60 วัน ท่านถึงจะได้พื้นที่คืนกลับมา 2. ลบไฟล์ขนาดใหญ่ใน Google Drive ที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว ใช้คอมพิวเตอร์เปิดเว็บเบราว์เซอร์จากนั้นคัดลอกลิงก์นี้ไปวาง https://drive.google.com/drive/u/0/quota เพื่อดูรายชื่อไฟล์ที่ใช้พื้นที่เรียงตามขนาดจากไฟล์ใหญ่ไปเล็ก 2. ย้ายไฟล์ที่ไม่ต้องการหรือไม่ได้ใช้งานแล้วลงถังขยะ จากนั้นคลิก ‘ลบไฟล์ออกจากถังขยะอย่างถาวร หรือ Empty Trash now’ เพื่อลบข้อมูลออกจากถังขยะอย่างถาวร เพียงเท่านี้ท่านก็จะได้พื้นที่ว่างใน Google Drive กลับมาภายใน 24 ชั่วโมง หมายเหตุ:...

Continue reading

ผู้ดูแลระบบไม่ควรพลาด! วิธีตรวจสอบพื้นที่เก็บข้อมูลด้วย Admin Console

จากที่ทาง Google ประกาศเปลี่ยนแปลงนโยบายพื้นที่จัดเก็บข้อมูล และเริ่มคิดพื้นที่การใช้งานตามจริงของ Google Photos, Docs, Sheets, Slides, Forms, Drawings และ Jamboard ซึ่งหากท่านใดเป็นผู้ดูแลระบบหรือ Admin ไม่ควรพลาด! วิธีตรวจสอบพื้นที่เก็บข้อมูลด้วย Admin Console อ่านรายละเอียดประกาศเปลี่ยนนโยบายพื้นที่จัดเก็บข้อมูลเพิ่มเติม เตรียมตัวให้พร้อม Google ประกาศเปลี่ยนนโยบายพื้นที่จัดเก็บข้อมูล (New Google Storage Policies) อ่านรายละเอียดการบริการของ Google ที่มีการคิดพื้นที่เก็บข้อมูล และวิธีการตรวจสอบดูว่าบัญชีของท่านใช้พื้นที่จัดเก็บข้อมูลไปเท่าไหร่ได้ที่บทความนี้ Google ประกาศคิดพื้นที่เก็บข้อมูล เตรียมตัวอย่างไรดี? กรณีที่พื้นที่เก็บข้อมูลของท่านเต็ม จะส่งผลกระทบดังนี้ ไม่สามารถอัปโหลดไฟล์เพิ่ม หรือสร้างไฟล์ใหม่ บน Google Drive ได้ ไม่สามารถสำรองรูปภาพและวิดีโอไปยัง Google Photos  ส่งผลกระทบต่อการรับอีเมลใน Gmail ของท่าน สำหรับผู้ดูแลระบบอีเมล Google Workspace (เดิมชื่อ G Suite) ของบริษัทหรือองค์กร สามารถตรวจสอบการใช้งานพื้นที่ของข้อมูลดังกล่าวที่มีการคิดพื้นที่ให้กับพนักงานหรือผู้ใช้งาน Google Workspace ทั้งหมด เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการใช้งานได้ ดังนี้  วิธีตรวจสอบการใช้งานพื้นที่เก็บข้อมูลของพนักงานในองค์กรด้วย Admin Console เข้าสู่ระบบ Admin Console ของผู้ดูแลระบบที่ admin.google.com จากหน้าแรกของ Admin Console ให้ไปที่ รายงาน > รายงานของผู้ใช้ > การใช้แอป บริการที่มีการคิดพื้นที่ จะแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก ๆ คือ Gmail, Google Drive และ Google Photos 4. สามารถเพิ่มตัวกรอง > พื้นที่เก็บข้อมูลทั้งหมดที่ใช้ ใส่จำนวนโควต้าพื้นที่เก็บข้อมูล เช่น 30720 MB (30...

Continue reading

3 วิธี จัดการไฟล์ใน Google Drive ให้หาเจอง่าย ทำตามได้ไม่ยุ่งยาก

ในเรื่องของข้อมูลมีความจำเป็นอย่างมาก ๆ ต่อการใช้งานในเเต่ละองค์กร ซึ่งกรณีนี้ขอยกตัวอย่างการใช้พื้นที่การใช้งานบน Google Drive ซึ่งข้อมูลของเเต่ละองค์กรประกอบไปด้วยไฟล์เอกสาร โฟลเดอร์ ที่อาจจะเป็นข้อมูลที่มีมูลค่ามหาศาลต่อองค์กรของท่าน รวมไปถึงอาจจะเป็นข้อมูลทางการเงินที่จะต้องมีการรักษาความลับต่อองค์กรหรือข้อมูลของลูกค้าที่ห้ามสูญหายและห้ามเปิดเผย  สำหรับวันนี้เราจะพาทุกคนมารู้จักกับ 3 วิธีจัดการพื้นที่บนผลิตภัณฑ์ Google Drive ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นต่อปริมาณข้อมูลที่พนักงานในองค์กรมีการใช้งานจริง เพื่อเป็นการรอรับมือกับการอัปเดตในเรื่องของการคิดพื้นที่ของการใช้งาน Google Drive ที่จะมีการคิดพื้นที่เพิ่มขึ้นมาในอนาคต ซึ่ง 3 วิธีจัดการพื้นที่บนผลิตภัณฑ์ Google Drive สามารถดำเนินการได้ตามขั้นตอนด้านล่างกันได้เลย วิธีการที่ 1 วิธีการสร้าง Shared drives เพื่อจัดการข้อมูลใน Folder เปิด Google Drive หรือพิมพ์URL: https://drive.google.com ให้คลิกที่รายการ Shared drives ทางด้านซ้าย คลิก NEW ที่ด้านบน ป้อนชื่อแล้วคลิก CREATE เพื่อสร้าง Shared drives หมายเหตุ: หลังจากที่ได้มีการสร้าง Shared drive เรียบร้อยเเล้วหากต้องการเพิ่มสมาชิกเเละการตั้งค่าระดับการเข้าถึง วิธีสร้างโฟลเดอร์ หลังจากที่เราได้มีการสร้าง Shared drives เเละได้มีการเพิ่มสมาชิกเรียบร้อยเเล้ว ลำดับถัดไปจะเป็นการเเสดงขั้นตอนการสร้างโฟลเดอร์ เพื่อที่สามารถจัดการประเภท หมวดหมู่ ในเเต่ละหมวดงานที่เกี่ยวข้องมาจัดเเสดงในโฟลเดอร์เดียวกัน โดยขั้นตอนการสร้างโฟลเดอร์สามารถดำเนินการได้จากขั้นตอนด้านล่าง ที่ด้านซ้าย ให้คลิกไดรฟ์ที่แชร์หรือโฟลเดอร์ที่มีอยู่  คลิก NEW > Folder เพื่อสร้างโฟร์เดอร์ ป้อนชื่อโฟลเดอร์แล้วคลิก CREATE  วิธีการที่ 2 วิธีการสร้างใส่ Description เพื่อดู Activity เพื่อการค้นหาข้อมูลได้เร็วขึ้น หลังจากที่ได้สร้างโฟลเดอร์หรือไฟล์เอกสารไว้ในไดรฟ์เเล้ว ลำดับถัดไปจะอธิบายการดูรายละเอียดเเละกิจกรรมที่เปลี่ยนแปลงในรายการไฟล์ที่ถูกสร้างหรืออัปโหลดไปยังไดรฟ์ โดยวิธีการดูกิจกรรมของไดรฟ์และรายละเอียดไฟล์ ให้เลือกไฟล์หรือโฟลเดอร์ที่ต้องการแล้วคลิกข้อมูลทีในแท็บรายละเอียด โดย 1. ให้คลิก View Details รายละเอียดเพื่อดูข้อมูลและการเปลี่ยนแปลง เช่น ประเภทไฟล์และเจ้าของ ขนาดโฟลเดอร์และจำนวนรายการ บุคคลที่แก้ไข สร้าง หรือเปิดรายการครั้งล่าสุด 2. คลิกแก้ไข...

Continue reading