สำหรับท่านใดที่กำลังใช้งาน Google Calendar เพื่อการทำงานหรือติดต่อประสานงานอยู่ ต้องบอกว่าฟีเจอร์ Working Location นี้เป็นประโยชน์มาก ๆ เพราะนอกจากจะใช้ Google Calendar ในการนัดประชุมแล้ว ท่านยังสามารถระบุสถานที่ทำงานของท่านในแต่ละวันได้อีกด้วย ยิ่งถ้าท่านมีการทำงานที่เป็น Hybrid Working Location แล้วก็ยิ่งสะดวกมาก ๆ เพราะผู้ที่ทำงานร่วมกับท่านหรือผู้ที่มีหน้าที่ตรวจเช็กจะสามารถทราบได้ว่าวันใดท่านทำงานที่สำนักงาน วันใดทำงานจากที่บ้าน หรือวันใดบ้างที่ท่านต้องไปพบลูกค้า เป็นต้น วิธีตั้งค่าสถานที่ทำงานใน Google Calendar เปิด Google Calendar เลือกวันที่วันใดก็ได้ เมื่อหน้าต่างปรากฏขึ้นให้เลือกเมนู Working Location ดังรูปภาพด้านล่าง 4. จากนั้นคลิกไปที่ Does not repeat เพื่อกำหนดว่าท่านต้องการให้สถานที่ที่ท่านเลือกแสดงบนวันใดบ้าง 5. ในส่วนสุดท้ายท่านจะต้องเลือกสถานที่ทำงาน ซึ่งใน Google Calendar จะมีอยู่ 3 ตัวเลือก คือ Home: บ้าน Office: สำนักงาน Other locations: สำนักงานหรือสถานที่อื่น (ท่านสามารถระบุได้) หากต้องการแก้ไขทำอย่างไร ? เปิด Google Calendar แล้วไปที่วันที่ท่านต้องการแก้ไข คลิกไปที่เส้น Location จะขึ้นคำว่า Change 3. คลิกแล้วเลือกสถานที่ใหม่ได้เลยทันที ฟีเจอร์ Working Location นี้มีใน Google Workspace แพ็กเกจใดบ้าง ? ฟีเจอร์ Working Location สามารถใช้งานได้แล้ววันนี้ใน Google Workspace ทุกแพ็กเกจ แต่สำหรับบุคคลที่ใช้งานบัญชีส่วนตัวเวอร์ชันฟรี (@gmail.com) ในการติดต่องาน จะไม่สามารถใช้งานฟีเจอร์นี้ได้ เนื่องจากฟีเจอร์นี้ถูกปล่อยออกมาสำหรับการใช้งานในรูปแบบขององค์กร ดังนั้นท่านใดที่ใช้บัญชีส่วนตัวจึงจะไม่สามารถใช้งานได้นั่นเอง ติดตามฟีเจอร์อัปเดตใหม่ได้ก่อนใครที่ www.dmit.co.th...
Continue readingความสำคัญของ Data Management พร้อมวิธีวางแผนจัดการข้อมูลเบื้องต้น
Data Management คือ กระบวนการจัดการข้อมูลทั้งหมดภายในองค์กร ได้แก่ การรวบรวม การควบคุม การเก็บรักษา ตลอดจนถึงการทำลายข้อมูล ซึ่งในปัจจุบันหลายองค์กรยังไม่มีระบบการจัดการข้อมูลที่ดีเท่าไรนัก ทำให้ไม่สามารถนำข้อมูลที่มีอยู่มาเป็นอาวุธลับสำหรับการพัฒนาธุรกิจได้ ดังนั้นการจัดการข้อมูลในองค์กรจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก ทำไม Data Management จึงสำคัญ ? แบ่งออกเป็น 4 หัวข้อใหญ่ ดังนี้ 1. สามารถใช้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจทางธุรกิจได้อย่างชาญฉลาด ข้อมูลถือเป็นขุมทรัพย์อันล้ำค่าสำหรับธุรกิจ เพราะข้อมูลจะช่วยให้ธุรกิจกำหนดกลยุทธ์และกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้อย่างชัดเจน ซึ่งสามารถต่อยอดเป็นแคมเปญโฆษณา การประชาสัมพันธ์สำหรับการตลาด หรือการออกแบบสินค้าให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า อีกทั้งผู้บริหารยังสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์เพื่อการตัดสินใจทางธุรกิจได้อย่างชาญฉลาด แม่นยำ มั่นใจ และรวดเร็วอีกด้วย 2. ลดกระบวนการทำงาน พนักงานสามารถทำงานได้อย่างรวดเร็ว ขณะนี้คุณอาจจะกำลังใช้เอกสารหลายฉบับสำหรับการเรียกดูข้อมูลชุดเดียวกันอยู่ ‘แล้วถ้าวันหนึ่งคุณต้องการข้อมูลแค่ชุดเดียว แต่ปรากฏว่าข้อมูลนี้มีอยู่ในเอกสารหลายฉบับมาก ๆ คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าเอกสารฉบับไหนมีข้อมูลที่ถูกต้อง ?’ ตัวอย่างเช่น พฤติกรรมการซื้อของนาย A เอกสารฉบับที่ 1 อาจระบุว่านาย A ชอบซื้อสินค้าโดยการผ่อนชำระ แต่ในเอกสารฉบับที่ 2 ระบุว่านาย A ชอบซื้อด้วยเงินสด หรือในอีกกรณีหนึ่งคือ เอกสารฉบับที่ 1 มีข้อมูลส่วนบุคคล และเอกสารฉบับที่ 2 มีพฤติกรรมการซื้อหรือข้อมูลอื่น ๆ เวลาจะใช้งานก็ต้องเปิดดูเอกสารควบคู่กันไป หากมาลองคิดดูดี ๆ แล้วก็หลายขั้นตอนอยู่ใช่ไหม ? ดังนั้นการจัดการข้อมูลให้เป็นระบบและจัดเก็บแหล่งเดียวกันจะทำให้พนักงานไม่ต้องทำงานหลายขั้นตอน สามารถนำข้อมูลมาใช้ได้เลยทันที ข้อมูลถูกต้อง และเป็นข้อมูลชุดเดียวกันกับพนักงานคนอื่น หมดกังวลเรื่องการใช้ข้อมูลผิดจากการดึงข้อมูลมาจากคนละเอกสารอีกด้วย 3. ข้อมูลมีความปลอดภัย ลดปัญหาภัยไซเบอร์ การจัดการที่ดีจะต้องมาพร้อมกับนโยบายการควบคุมความปลอดภัยภายในองค์กรด้วย ยิ่งข้อมูลมีจำนวนมากเท่าไหร่ การเลือกผู้ให้บริการในการเก็บรวบรวมข้อมูลให้ปลอดภัยก็ยิ่งสำคัญ หากองค์กรมีการจัดการข้อมูลที่ดีที่สามารถปกป้องข้อมูลได้อย่างหนาแน่นก็จะช่วยลดความเสี่ยงในหลายรูปแบบ เช่น การป้องกันข้อมูลรั่วไหล และการถูกโจรกรรมอันสร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ขององค์กร การเงิน และอื่น ๆ เป็นต้น 4. สำรองข้อมูลได้ทันที ไร้กังวลเรื่องการลบข้อมูลจาก Human Errors Human Errors เป็นอะไรที่ป้องกันยากมาก ๆ เนื่องจากเป็นปัญหาที่เกิดจากความผิดพลาดของมนุษย์ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ตามธรรมชาติ ดังนั้นการวางแผนการจัดการข้อมูลเพื่อป้องกันการเกิดเหตุการณ์ลบข้อมูลโดยที่ไม่คาดคิดจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม หากองค์กรมีการจัดการและควบคุมข้อมูลได้อย่างดีก็จะช่วยให้สามารถกู้คืนข้อมูลต่าง ๆ...
Continue readingใน Google Docs ก็กด React ได้นะ
หลังจากที่เราได้แนะนำ How To ใส่ Emoji ใน Google Docs กันไปแล้ว วันนี้ Google ก็ได้ปล่อยฟีเจอร์ใหม่ออกมาเพิ่มอีกแล้ว เรียกได้ว่าน่าสนใจไม่แพ้กันทีเดียว ฟีเจอร์นี้ก็คือ การกด Reaction ใน Google Docs นั่นเอง ซึ่งฟีเจอร์นี้จะช่วยให้คุณสามารถเปลี่ยนงานเอกสารอันน่าเบื่อให้ดูน่าสนใจมากขึ้น แถมยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงานได้อีกด้วย และยังสามารถใช้ได้ในทุกแพ็กเกจเลยนะ วิธีการใส่ Reaction ใน Google Docs เปิด Google Docs แล้วไปยังหน้าเอกสารที่คุณต้องการ พิมพ์ @ ลงหน้ากระดาษ เลื่อนลงไปที่ Voting Chip 4. เลือก Emoji ที่คุณต้องการได้เลย เช่น ? 1 vote ❤️ 0 vote 5. จากนั้นผู้ใช้เอกสารแต่ละคนจะสามารถคลิกที่ Emoji เพื่อ React ได้คนละ 1 ครั้ง คุณสามารถนำฟีเจอร์ Reaction ไปใช้อย่างไรได้บ้าง ? ที่มาของชื่อ Voting Chip แน่นอนว่าคุณสามารถนำไปใช้สำหรับการโหวตหรือ Poll ได้ ใช้สำหรับการแสดงการรับรู้แบบสั้น ๆ ว่าคุณรับรู้ข้อความนี้แล้วโดยที่ไม่ต้องคอมเมนต์หรือทักข้อความบอกใน Google Chat สามารถกด Reaction บนคอมเมนต์เพื่อบ่งบอกว่าคุณเห็นด้วยกับคอมเมนต์นั้นได้ กด Reaction เพื่อเป็นกำลังใจว่าข้อความนั้นเป็นที่ชื่นชอบ และอื่น ๆ ซึ่งคุณสามารถนำมาประยุกต์ใช้เองได้เลย >> ติดตามฟีเจอร์อื่น ๆ ของ Google Workspace ก่อนใคร ได้ที่ www.dmit.co.th หมวดหมู่ Blog >> ต้องการสอบถามเกี่ยวกับการใช้งานหรือสนใจใช้บริการพร้อมรับ Newsletter...
Continue readingสรุปสาระสำคัญส่งท้ายงานสัมมนา AppSheet – The Fastest Workflow App for Smart Enterprises
ก่อนอื่นเลย Demeter ICT ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ให้ความสนใจในงานสัมมนาของเราอย่างมาก โดยภายในงานนี้เราได้นำผู้เชี่ยวชาญด้าน AppSheet และ Cloud Solution มาให้ความรู้โดยตรงและตอบคำถามกันอย่างใกล้ชิด ซึ่งเนื้อหาหลักของงานสัมมนาจะเกี่ยวข้องกับการสาธิตการใช้งานแอปพลิเคชันและการแชร์วิธีการทำงานของ AppSheet เป็นส่วนใหญ่ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมมีความเข้าใจในกระบวนการทำงานของ AppSheet มากยิ่งขึ้น อีกทั้งเพื่อให้ทุกท่านได้เห็นภาพการใช้งานจริงของการปรับใช้ AppSheet ในแต่ละสายงาน ทีม และอุตสาหกรรมกันด้วย เราจึงได้นำ AppSheet มาปรับใช้เป็นเครื่องมือในการลงทะเบียนเข้าร่วมงานไปจนถึงการใช้เป็นช่องทางในการให้ผู้เข้าร่วมสามารถถามคำถามและข้อสงสัยเข้ามาระหว่างการบรรยายอีกด้วย ดังนั้นวันนี้ Demeter ICT จึงได้หยิบยกสาระสำคัญที่น่าสนใจมาฝากทุกท่าน เพื่อเป็นการสรุปสั้น ๆ เกี่ยวกับฟังก์ชัน แหล่งข้อมูล และการนำ AppSheet มาประยุกต์ใช้จริงกับธุรกิจในด้านต่าง ๆ https://youtu.be/5lltYPbaMwI ฟังก์ชันที่โดดเด่นของ AppSheet Approval – สามารถสร้างแอปสำหรับส่งข้อมูลหรือแนบเอกสารขออนุมัติให้ผู้บริหารหรือผู้จัดการกดปุ่มอนุมัติได้เลยทันที ไม่จำเป็นต้องใช้กระดาษ OCR (Optical Character Recognition) – สามารถแปลงข้อมูลจากเอกสารและรูปภาพขึ้นมาเป็นข้อมูลดิจิทัล หรือจะอัปโหลดเอกสารจากไฟล์อื่นนอกเหนือจาก Google Workspace ก็ได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น PDF, Excel และอื่น ๆ Chatbot – สามารถสร้าง Chatbot เพื่อช่วยจัดการภาระงานของท่านได้ เช่น การรวบรวมรายการที่ท่านต้องเซ็นอนุมัติ รายการใหม่ที่ส่งเข้ามา หรือจะเปิดดูใน Calendar ก็สามารถทำได้ และในกรณีที่ใน Inbox นั้นมีอีเมลจำนวนมากจนทำให้ท่านไม่สามารถมองเห็นอีเมลที่กำลังรอการอนุมัติทั้งหมดได้ Chatbot คือทางออกที่จะช่วยท่านได้เยอะมาก ๆ เพราะ Chatbot จะช่วยจัดหมวดหมู่และคอยแจ้งเตือนงานที่ท่านต้องจัดการนั่นเอง ไม่เพียงแค่นี้ AppSheet ยังมีฟังก์ชันอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น การสแกนบาร์โค้ดหรือ QR Code, การส่งอีเมลอัตโนมัติ, การคำนวณเพื่อลด Human Error, จดจำสถานที่, และอื่น ๆ แหล่งจัดเก็บข้อมูลของ AppSheet Native source – AppSheet...
Continue readingวิธีการตั้งค่าฟังก์ชัน Approval ขออนุมัติได้ทันทีด้วย AppSheet
Demeter ICT งานเข้า ! เมื่อได้รับ Feedback มาอย่างล้นหลามว่าฟังก์ชัน Approval ใน AppSheet ทำอย่างไร ? ต้นเหตุเกิดจากวิดีโอนี้ https://www.youtube.com/watch?v=HvaL3OtnXwg&t=6s หลังจากที่ Demeter ICT ได้เปิดตัว AppSheet อย่างเป็นทางการจากงานสัมมนาของเรา มีหลายคนให้ความสนใจผลิตภัณฑ์ AppSheet มากมาย และหนึ่งในฟังก์ชันยอดฮิตที่มีคนสอบถามเข้ามามากที่สุด นั่นก็คือ ฟังก์ชัน ‘Approval’ ซึ่งเป็นฟังก์ชันการอนุมัติเอกสารต่าง ๆ ภายในองค์กร วันนี้ Demeter ICT จึงได้จัดทำบทความเอาใจผู้ที่ต้องการนำ AppSheet มาพัฒนากระบวนการทำงานด้วยการขออนุมัติผ่านแอปพลิเคชัน ทำงานได้อย่างรวดเร็ว ลดการใช้กระดาษ และเพิ่มประสิทธิภาพของงานได้อย่างง่าย วิธีการตั้งค่าเพื่อขออนุมัติ (Approval) ด้วย AppSheet ส่วนที่ 1: การส่งอีเมลอัตโนมัติไปยังผู้อนุมัติเมื่อมีพนักงานส่งคำร้องขอเข้ามา 1. หากคุณยังไม่มีความรู้พื้นฐานในการสร้าง AppSheet เราแนะนำให้คุณลองศึกษาบทความนี้ เพื่อเตรียมความพร้อมและเพื่อทำความเข้าใจการทำงานของ AppSheet เบื้องต้นเสียก่อน 2. เมื่อคุณเข้าใจการทำงานของ AppSheet แล้ว ให้คุณไปยังหน้า AppSheet ของคุณ โดยคุณสามารถเข้าจาก www.appsheet.com หรือเข้าผ่านไฟล์ใน Google Sheets ก็ได้เช่นกัน 2.1 หากคุณสร้างแอปไว้แล้ว – แนะนำให้คุณเข้าใช้งานผ่านเว็บไซต์ AppSheet เลือกแอปที่คุณต้องการสร้างฟอร์มขออนุมัติได้เลย 2.2 หากคุณยังไม่ได้สร้างแอป – แนะนำให้คุณเข้าผ่าน Google Sheets เลือกไฟล์ที่ต้องการ แล้วกด Extensions เลือก AppSheetหมายเหตุ: หากคุณใช้ Database จาก Google Sheets อย่าลืมใส่หัวข้อ...
Continue readingQ&A จากงานสัมมนา The Fastest Workflow App for Smart Enterprises
ฟังก์ชันการใช้งาน AppSheet สามารถพัฒนาให้รับค่าหลายค่าได้หรือไม่ เช่น คีย์เบิกค่าใช้จ่ายหลายรายการในเลขที่เอกสารเดียวกัน AppSheet รองรับการรับข้อมูลหลายคำสั่งลงในแบบฟอร์มเดียวกันได้ ขึ้นอยู่กับการออกแบบแอปพลิเคชัน ในคำถามนี้สามารถทำได้โดยการอ้างอิงข้อมูลข้ามตาราง หากมีข้อมูลเป็น QR code (ขั้นข้อมูลต่างๆ ด้วย “;”) สามารถใช้ AppSheet สแกนข้อมูล แล้วแยกข้อมูลเป็นช่องต่างๆ ได้หรือไม่ AppSheet สามารถทำได้โดยให้มีการจัดการข้อมูลตามเงื่อนไขของเครื่องหมายที่กำหนด AppSheet มีมุมมองแบบ Calendar view หรือไม่ เช่น การจองห้องประชุม ว่างหรือไม่ว่างวันไหน แสดงผลหน้าแอปเป็น Calendar view AppSheet สามารถทำได้ และผู้ใช้งานสามารถเชื่อมต่อกับ Google Calendar ได้โดยตรง หากในองค์กรมีปัญหาอินเทอร์เน็ต จะสามารถ Back up ข้อมูลจาก Users ไว้แบบ Offline ได้หรือไม่ AppSheet สามารถใช้งานแบบ Offine Mode ได้ หากได้รับ E-slip จาก Supplier AppSheet สามารถตรวจสอบความถูกต้องได้อัตโนมัติหรือไม่ ในกรณีที่ต้องการตรวจสอบความถูกต้องของ E-Slip นั้น สามารถใช้งาน OCR ใน AppSheet มาประยุกต์ได้ แต่ข้อจำกัดของรูปแบบ E-Slip ต้องเป็นรูปแบบของข้อมูลประเภทเดียวกัน ซึ่งปัจจุบันยังไม่รองรับหลากหลายรูปแบบ เราจึงแนะนำให้คุณสร้างฟอร์มในแอป กรอกข้อมูลและแนบไฟล์ลงใน AppSheet เพื่อให้แอปสามารถตรวจสอบจำนวนเงินที่ถูกกรอกเข้ามาเบื้องต้นได้ การทำงานของ AppSheet กับฐานข้อมูล SQL Server On Premises สามารถทำงานได้ในระดับใด สามารถเพิ่ม แก้ไข ได้หรือไม่ AppSheet สามารถเชื่อมต่อกับ On Premise SQL Server ได้ โดยที่สามารถกำหนดสิทธิ์ในการอ่าน เพิ่ม แก้ไข หรือลบข้อมูลได้ ที่สำคัญขึ้นอยู่กับ AppSheet...
Continue reading4 Tips เตรียม Spreadsheet ให้พร้อม ง่ายต่อการสร้างแอปด้วย AppSheet
จะสร้างแอปด้วย AppSheet ก็ต้องเตรียมตาราง Spreadsheet ใน Google Sheets ให้พร้อม บอกได้เลยว่าการเตรียม Spreadsheet สำหรับการสร้างแอปนั้นง่ายนิดเดียว เพราะการสร้างชีตนั้นจะอ้างอิงจากรูปแบบตารางที่หลายองค์กรนั้นมีการใช้งานกันอยู่แล้วนั่นเอง และเพื่อให้ AppSheet สามารถทำงานได้ง่าย คุณจะต้องสร้างตารางที่ทำให้ AppSheet เข้าใจกลไกของการทำงานของคุณได้มากที่สุด ดังนั้นหากคุณรู้ Tips ในการจัดการตารางก่อนสร้างแอปจะช่วยให้คุณสามารถสร้างแอป จัดการ และแก้ไขแอปของคุณได้ง่ายมาก ๆ ทำด้วยตัวเองได้เลย คอนเฟิร์ม ! 4 Tips เตรียม Spreadsheet ให้พร้อม ง่ายต่อการสร้างแอปด้วย AppSheet 1. ใช้ layout ที่อ่านแล้วเข้าใจง่าย ก่อนที่คุณจะกำหนดข้อมูล ให้คุณตั้งคำถามกับตัวเองก่อนว่า คุณต้องการสร้างแอปสำหรับอะไรหรือคุณต้องการใช้แอปเพื่อทำอะไร ? คุณต้องมีข้อมูลอะไรบ้าง ? ตัวอย่างเช่น คุณต้องการทำแอปสำหรับเช็คสต๊อกสินค้าในร้านขายของ คุณต้องมีข้อมูลอะไรบ้าง ? ชื่อสินค้า รหัสสินค้า จำนวนสต๊อกที่มีอยู่ในร้านหรือจำนวนที่ขายออก เป็นต้น เมื่อข้อมูลพร้อมแล้ว ก็นำมาสร้างตารางใน Google Sheets ได้เลย (หรือหากยังไม่มีข้อมูล คุณก็สามารถใส่ชื่อคอลัมน์อย่างเดียวก็ได้ เพื่อให้แอปรับรู้ว่าข้อมูลที่คุณต้องการคืออะไรนั่นเอง) คำแนะนำ: คุณควรที่จะรวมตารางไว้ในตารางเดียวกัน หากแยกตารางออกเป็นหลาย ๆ ตาราง จะทำให้แอปทำงานค่อนข้างซับซ้อนและยากต่อการเปลี่ยนแปลงข้อมูล Spreadsheet ที่ถูกต้อง Spreadsheet ที่ไม่แนะนำ 2. ตั้งชื่อคอลัมน์ให้ง่ายและสอดคล้องกัน เพื่อให้ AppSheet สามารถทำงานได้ง่ายและอ่านค่าได้อย่างรวดเร็ว เราแนะนำให้คุณตั้งชื่อคอลัมน์ให้สั้นกระชับ อ่านแล้วเข้าใจง่าย และในกรณีที่คุณต้องการใส่ข้อมูลย่อยของแต่ละรายการ ให้คุณสร้างแท็บในชีตเดียวกันเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งแท็บ โดยคุณจะต้องใช้ชื่อคอลัมน์ให้เหมือนกันกับแท็บแรก ตัวอย่างเช่น แท็บ 1: มีคอลัมน์ชื่อสินค้า รหัสสินค้า และห้องจัดเก็บ ซึ่งคุณอาจจะอยากอธิบายเพิ่มเติมว่าห้องจัดเก็บของแต่ละรายการอยู่ที่ใดบ้าง ให้คุณสร้างแท็บที่ 2 โดยมีคอลัมน์แรกเป็น ‘ห้องจัดเก็บ’ คอลัมน์ต่อมาถึงจะเป็นคำอธิบายในส่วนของที่ตั้งของสถานที่นั้น ๆ ซึ่งแท็บที่ 2 จะถูกเรียกใช้งานก็ต่อเมื่อคุณต้องการให้ข้อมูลนั้นแสดงผลโดยอัตโนมัติเมื่อมีคนคลิกรายการที่กำหนด เช่น ส้มอยู่ห้องจัดเก็บ B...
Continue readingForrester ยก Google ขึ้นแท่นผู้นำด้าน Data Security Platform Q1 2023
Google Cloud เป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มการจัดเก็บข้อมูลออนไลน์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในขณะนี้ หลายองค์กรได้ปรับเปลี่ยนการทำงานมาอยู่รูปแบบออนไลน์กันมากขึ้น ดังนั้นเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลจึงเป็นเรื่องที่ไม่อาจมองข้ามได้ ดังนั้น Google จึงได้มีระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูลอย่างแน่นหนา ที่จะสามารถช่วยให้ข้อมูลถูกจัดเก็บและเคลื่อนย้ายได้อย่างปลอดภัย ทำให้องค์กรสามารถตรวจสอบและควบคุมส่วนต่าง ๆ ได้อย่างอิสระ….นี่แหละกลยุทธ์ที่สำคัญของ Google และด้วยระบบการป้องกันและรักษาความปลอดภัยนี้เอง ทำให้ The Forrester Wave™ ยก Google Cloud ให้เป็นผู้นำด้าน Data Security Platforms Q1 2023 นวัตกรรมการรักษาความปลอดภัย คือ จุดแข็งของ Google ที่ไม่มีใครเทียบได้ Google นั้นให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยของการเก็บข้อมูลออนไลน์เป็นอันดับหนึ่ง เริ่มจากการนำกลยุทธ์ด้านความปลอดภัยมายกระดับธุรกิจเชิงพาณิชย์และองค์กรภาครัฐทุกแห่งสู่ Cloud-Native Security ที่ใช้การประมวลข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูลผ่าน AI และ Machine Learning ซึ่งจะช่วยให้ข้อมูลฝั่งองค์กรและฝั่ง End users ได้รับการปกป้องอย่างครบถ้วน ไม่เพียงแค่นั้น เทคโนโลยี Data Loss Prevention (DLP) ของ Google ยังทำให้ผู้ใช้งานสามารถจัดการข้อมูลได้แบบ Real-time ปรับเปลี่ยนได้ตามต้องการ และสามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่องอีกด้วย ในบทวิจัยของ Forrester ได้กล่าวว่า “Google นั้นโดดเด่นในเรื่องของนวัตกรรมอย่างมาก ตัวอย่างเช่น AI และ Machine Learning, การพัฒนานวัตกรรมภายในองค์กร, การร่วมมือกับหุ้นส่วนเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ (การประมวลผล, การควบคุม, และการจัดการบน Cloud service เป็นต้น)” ทุกการใช้งานมีความปลอดภัย ด้วยเทคโนโลยีที่ชื่อว่า infoType detectors – กลไกการตรวจจับข้อมูลอ่อนไหว ทำให้ Google สามารถเก็บรักษาข้อมูลความลับอันถือเป็นสินทรัพย์ขององค์กรได้ทั้งใน Google Chrome Enterprise และใน Google Workspace (Gmail & Drive) เช่น ข้อมูลการผลิต ข้อมูลการวิเคราะห์ต่าง ๆ...
Continue readingแชร์วิธีการเชื่อมต่อกราฟใน Google Sheets, Docs, Slides เข้าด้วยกันแบบ Real-time
พอกันทีกับการที่ต้องคอยแก้ไขข้อมูลไปมา พอกันทีกับการสร้างกราฟใหม่อยู่ตลอด พอกันทีกับการที่ต้องคอย Screenshot หน้าจอแล้วไปวางในไฟล์อื่น วันนี้คุณจะสามารถเชื่อมต่อข้อมูลและใช้กราฟตัวเดียวกันจาก Google Sheets, Docs, Slides ได้เลยทันที ! ไม่ต้องทำงานซ้ำซ้อนอีกต่อไป เพียงแค่เปลี่ยนจากการเลือกประเภทของกราฟ (Bar, Column, Line, Pie) เป็นการเลือกกราฟจาก Sheets แทน ….นี่คือขั้นตอนแบบรวบรัดนะ แต่สำหรับใครที่ต้องการเห็นภาพชัดเจนมากขึ้นว่าต้องไปที่ไหน ? ทำอย่างไร ? เราได้แบ่งขั้นตอนการแทรกกราฟไว้ ดังนี้ ขั้นตอนการนำกราฟจาก Google Sheets มาที่ Docs และ Slides คุณต้องสร้างข้อมูลและสร้างกราฟใน Google Sheets ให้เรียบร้อยเสียก่อน เปิด Google Docs หรือ Google Slides ไปที่ Insert (แทรก) > Chart เลือก From Sheets 4. เลือกไฟล์ Sheets ที่มีกราฟที่คุณต้องการ เพียงเท่านี้เป็นอันเรียบร้อย ! วิธีทำให้ข้อมูลในกราฟเชื่อมต่อกันแบบ Real-time เมื่อคุณเปลี่ยนข้อมูลในตารางใน Google Sheets จะเห็นว่ากราฟใน Sheets มีการอัปเดตแบบอัตโนมัติ แต่ใน Docs และ Slides ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ให้คุณทำตามนี้ เปิด Docs หรือ Slides แล้วไปที่ Chart บนหน้ากระดาษของคุณ จากนั้นให้คุณคลิก Update ที่มุมบนขวาของกราฟนั้น ๆ เพียงเท่านี้คุณก็สามารถนำกราฟมาเชื่อมต่อกันได้แบบ Real-time แล้วง่าย ๆ ไม่ว่าคุณจะทำงานเอกสารหรืองานนำเสนอก็ไม่ต้องคอยนำเข้ากราฟทุกครั้งที่แก้ไขข้อมูลเหมือนที่เคยทำมา ลืมการทำงานแบบเดิม ๆ ไปได้เลย ! ติดตาม Demeter ICT...
Continue reading