มีแอปพลิเคชันได้ง่ายๆใน 7 ขั้นตอนกับ AppSheet สร้างแอปพลิเคชันได้โดยไม่ต้องเขียนโค้ดสักตัว? บทความนี้เราจะพาคุณมาดูขั้นตอนการสร้างแอปพลิเคชันด้วยแพลตฟอร์ม AppSheet ว่าหน้าตาและรูปแบบของแอปมีอะไรให้เราได้เล่นบ้าง การทำงานของแอปนั้นเป็นอย่างไร? แล้วที่บอกว่าไม่ต้องเขียนโค้ดเลยจะสามารถสร้างแอปขึ้นมาได้จริงๆหรือ? เพียงแค่จบบทความ 7 ขั้นตอนการสร้างแอปกับ AppSheet นี้เท่านั้นที่จะตอบคำถามเหล่านี้ทั้งหมดได้ ไปดูกันเลย… Step 1: เตรียมข้อมูลให้พร้อม อันดับแรกเลย คุณต้องจัดเตรียมข้อมูลให้พร้อมว่าข้อมูลที่คุณต้องการใช้งานหรืออยากให้มีในแอปนั้นมีอะไรบ้าง ซึ่ง AppSheet นั้นสามารถเชื่อมต่อฐานข้อมมูลได้หลายแหล่งด้วยกัน เช่น Google Sheets, Excel, Cloud SQL เป็นต้น ข้อสำคัญคือคุณต้องจัดเรียงตำแหน่งข้อมูลนั้นให้เหมาะสมด้วย โดยข้อมูลนั้นต้องเริ่มปรากฎที่หัวคอลัมน์แถวแรกเท่านั้น เพราะถ้าข้อมูลเริ่มจากคอลัมน์และแถวอื่นจะไม่สามารถกดสร้างแอปได้ How to: 4 Tips เตรียม Spreadsheet ให้พร้อม ง่ายต่อการสร้างแอปด้วย AppSheet Step 2: เชื่อมต่อข้อมูล เมื่อคุณจัดการข้อมูลที่ต้องการเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนนี้จะเป็นการนำข้อมูลเหล่านั้นมาสร้างเป็นแอปพลิเคชัน ยกตัวอย่างหากคุณสร้างฐานข้อมูลใน Sheets สามารถกดสร้างแอปได้ที่ Extension > AppSheet > Creat an app หรือสามารถกดสร้างแอปได้ที่ หน้าเว็บ AppSheet Step 3: เข้าสู่ขั้นตอนการสร้างแอป เมื่อคุณคลิกสร้างแอปแล้ว จะสังเกตว่ามีหน้าต่างต้อนรับสู่การสร้างแอปสีฟ้าปรากฎขึ้น นั่นหมายความว่าคุณได้เป็นนักพัฒนาแอปเต็มตัวแล้ว เมื่อคุณปิดหน้าต่างลง จะเห็นว่าที่ด้านขวามือจะเป็นการ preview หน้าตาของแอปคุณ แต่ละ page ที่ปรากฎบน preview นั้นจะเรียกว่า View ซึ่งเบื้องต้น AI ของ AppSheet จะทำการแสดง view ขึ้นมาจากฐานข้อมูลที่คุณมี โดยที่คุณสามารถปรับแก้ไขหรือเพิ่มเติมทีหลังได้เช่นกัน ทีนี้มาทำความรู้จักกับแถบเมนูด้านซ้ายมือกันว่ามีอะไรที่น่าสนใจและใช้งานบ่อยๆบ้าง? Data: ข้อมูลและจัดการคุณสมบัติของคอลัมน์ต่างๆView: การแสดงหน้าเพจและตั้งค่ารูปแบบการจัดวางของหน้าเพจAction: กำหนด action หรือมุมมองของแต่ละ userBots: การสร้าง automation ของแอปพลิเคชัน Security: ตั้งค่าความปลอดภัยของแอปและกำหนดบทบาทหน้าที่ของ user Setting: ปรับแต่งข้อมูลสำหรับผู้ใช้แอปและตั้งค่าคุณสมบัติของแอปManage:...
Continue readingยกระดับความปลอดภัยจาก Spam บน Google Drive
ยกระดับความปลอดภัย จาก Spam บน Google Drive หากพูดถึงระบบการรักษาความปลอดภัยบนโลกออนไลน์ แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นคือ Google ที่มีระบบ Safety บนโครงสร้างพื้นฐานของระบบคลาวด์ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในระบบปลอดภัยที่สุดในโลก โดยการตรวจหาภัยคุกคามบนอินเทอร์เน็ตแบบอัตโนมัติที่สร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้งานได้อย่างดีเยี่ยม จากอดีตถึงปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของ Google ได้รับการพัฒนาด้านการป้องกันความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ Google Workspace อย่างระบบความปลอดภัยบน Gmail ที่ทำหน้าที่ตรวจหาอีเมลฉบับขาเข้าโดยอัตโนมัติว่าอีเมลฉบับไหนมีแนวโน้มไม่พึงประสงค์หรือดูท่าทีว่าไม่ปลอดภัยต่อผู้รับอีเมลก็จะทำการดึงอีเมลฉบับนั้นไปไว้ในโฟลเดอร์ Spam ทันที อัปเดต! เพิ่มระบบความปลอดภัยสำหรับ Google Drive ล่าสุด Google Drive ก็มีอัปเดตการป้องกันความปลอดภัยบนไดรฟ์เช่นกัน โดยมีการเพิ่มโฟล์เดอร์ Spam เข้ามาไว้สำหรับให้เจ้าของไดร์ฟแยกไฟล์ที่ไม่ต้องการหรือคาดว่าไม่ปลอดภัย และเมื่อเจ้าของไดรฟ์ทำการย้ายไฟล์ไปยังโฟล์เดอร์ Spam แล้ว ก็จะไม่สามารถรับการแจ้งเตือน คอมเมนต์ จากไฟล์นั้นได้ รวมถึงไฟล์นั้นจะไม่ปรากฎบนไดรฟ์อีกต่อไป ซึ่งฟีเจอร์นี้จะเปิดให้ใช้ได้ภายในเดือนมิถุนายน 2566 วิธีแยกไฟล์ไปยัง Spam บน Google Drive เข้าไปที่ Google Drive คลิกที่ Shared with Me เลือกไฟล์ที่ต้องการ สามารถเลือกแบบหลายไฟล์พร้อมกันได้ โดยการทำเครื่องหมายถูกที่หน้าชื่อไฟล์นั้นๆ คลิกขวาไฟล์ที่เลือกแล้วคลิก Report หรือเลือกลากไฟล์ที่ต้องการไปที่โฟลเดอร์ Spam ได้เช่นเดียวกัน เลือกเหตุผลที่ต้องการ report เพื่อรายงานไปยัง Google เพื่อตรวจสอบการละเมิดนโยบาย โดยมีหัวข้อดังนี้ Spam or fraud สแปมหรือการฉ้อโกง Disturbing or inappropriate content การรบกวนหรือเนื้อหาไม่เหมาะสม Copyright violation การละเมิดลิขสิทธิ์ Child endangerment เป็นภัยต่อเด็ก Other ilegal activity อื่นๆที่ผิดกฎหมาย 6. ทำเครื่องหมาย ✓ หากต้องการบล็อคอีเมลเจ้าของไฟล์ 7. คลิก Report เป็นอันเสร็จสิ้น Tips...
Continue readingทำความรู้จักกับ No Code Platform คืออะไร? ทำไมถึงได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้
ทำความรู้จักกับ No Code Platform คืออะไร? และทำไมถึงได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้ ในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว บวกกับการแข่งขันด้านความไวของธุรกิจที่มีมากขึ้น ทำให้หลายธุรกิจมองเห็นถึงความสำคัญในการนำโซลูชันมาช่วยปรับปรุงกระบวนการทำงานหรือพัฒนาธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ ระบบต่างๆ หรือแอปพลิเคชัน ซึ่งในการพัฒนาแต่ละครั้งมักจะมีรายละเอียดปลีกย่อยค่อนข้างมาก จำเป็นต้องพัฒนาด้วยผู้เชี่ยวชาญหลายส่วน เช่น การออกแบบ process การเขียนโค้ดด้วยภาษาต่างๆ หรือการออกแบบ UX/UI ที่ต้องสร้างประสบการณ์ที่ดีต่อผู้ใช้งาน ล้วนแล้วแต่ใช้ระยะเวลาแทบทั้งสิ้น และหากองค์กรที่ไม่มีนักพัฒนาโปรแกรม หรือไม่มีความรู้ในการเขียนโปรแกรมเลยล่ะ …. พอจะมีตัวช่วยอะไรบ้าง?… No-Code Platform คืออะไร ด้วยปัญหามากมายเหล่านั้น เป็นเหตุให้ผู้ประกอบธุรกิจซอฟต์แวร์มากมาย ได้พัฒนาซอฟต์แวร์ประเภท “No-Code Platform” ขึ้นมา ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการแบบ Graphical User Interface (GUI) ในลักษณะที่เป็นการคลิก ลาก วาง ปุ่มหรือเทมเพลต ด้วยเครื่องมือที่ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์กับบุคคลหรือองค์กรที่ไม่มีความเชี่ยวชาญในการเขียนโปรแกรมที่ซับซ้อน ให้สามารถพัฒนาโปรแกรมได้ด้วยตนเอง หรือแม้แต่องค์กรที่มีโปรแกรมเมอร์ ก็ยังเลือกใช้ No-Code Platform มาต่อยอดเพื่อช่วยทุ่นแรง เนื่องจากต้องการย่นระยะเวลา เพิ่มความสะดวก และยังช่วยลดต้นทุนของทรัพยากรด้านต่างๆ ได้อีกด้วย ตัวอย่างซอฟต์แวร์ ที่เป็น No-Code Platform ตัวอย่างแพลตฟอร์มแบบไม่ต้องเขียนโค้ด ที่นักพัฒนาสร้างขึ้นมาเพื่อให้ตอบโจทย์ในโซลูชันที่แตกต่างกันไปมีมากมายหลายประเภทให้เลือกใช้ เช่น Website– สร้างเว็บไซต์ที่ไม่ต้องเขียนโค้ด ลักษณะการทำงานแบบ Drag and Drop สามารถปรับแต่ง element ต่างๆได้ตามต้องการ: WordPress, Webflow เป็นต้นEmail automation– เครื่องมือการส่งอีเมลแจ้งเตือนแบบอัตโนมัติ สามารถปรับรูปแบบและหน้าตาในการสร้างอีเมลนั้นๆได้ เป็นลักษณะ Drag and drop เช่นกัน ตัวอย่างเช่นการส่งแจ้งเตือน welcome email, order confirmations, shipping confirmations และอื่นๆ: Mailchimp, Mailerlite, Active Campaign เป็นต้นChat automation– จัดการการตอบแชทอัตโนมัติ หรือป้อนข้อมูลเป็น auto chat...
Continue readingปรับโฉมฟีเจอร์ Location picker ช่วยจัดการย้ายไฟล์บนไดร์ฟให้เร็วกว่าเดิม
ปรับโฉมฟีเจอร์ Location picker จัดการย้ายไฟล์บนไดร์ฟให้เร็วกว่าเดิม มาแล้ว! location picker หรือ เครื่องมือเลือกตำแหน่งการย้ายไฟล์ โฉมใหม่! ของ Google Drive เป็นการปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ UI บนเบราว์เซอร์ ที่จะช่วยให้คุณเลือกจัดการไฟล์หรือโฟล์เดอร์ไปยังตำแหน่งปลายทางที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่ารูปแบบเดิม รูปแบบ location picker ใหม่เป็นอย่างไร? แถบบนของหน้าต่าง location picker จะมี 3 หัวข้อให้คุณเลือก นั่นคือ Suggestion (แนะนำ), Starred (ที่ติดดาว) และ All location (พื้นที่ทั้งหมด) เพื่อให้คุณเข้าถึงโฟล์เดอร์ที่ต้องการจะย้ายได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น แสดงรายละเอียดเส้นทางของไฟล์ไปยังโฟล์เดอร์ที่ย้าย และหากโฟล์เดอร์ที่คุณเลือกนั้นเป็นโฟล์เดอร์ว่าง จะปรากฎด้วยรูปภาพโฟล์เดอร์ว่างเปล่า หรือหากคุณอยากจะสร้างโฟล์เดอร์ใหม่ก็ทำได้เช่นเดียวกัน หากในแถบ Suggestion ได้แสดงโฟล์เดอร์ที่คุณคาดว่าไม่น่าเกี่ยวข้อง คุณสามารถทำการลบโฟล์เดอร์นั้นออกจากการแนะนำได้เลย เมื่อเสร็จสิ้นการย้ายไฟล์ จะแสดงรายละเอียดที่แถบสีดำด้านล่างซ้าย ว่าคุณได้ย้ายไฟล์ไปที่โฟล์เดอร์นั้นเรียบร้อยแล้ว หากไฟล์ที่คุณมีเป็นไฟล์ชนิด “view only (สำหรับดูเท่านั้น)” จะไม่สามารถทำการจัดการย้ายไฟล์ได้ เนื่องจากคุณไม่ได้เป็นเจ้าของไฟล์ดังกล่าว วิธีการโอนย้ายไฟล์ ด้วย location picker รูปแบบใหม่ ใน 3 ขั้นตอน คลิกขวาที่ไฟล์ที่ต้องการจะโอนย้าย เลือก > Move to 2. เลือกที่แถบ Suggestion, Starred, หรือ All location ได้ตามต้องการ แล้วเลือกโฟล์เดอร์ปลายทางที่ต้องการจะย้ายไฟล์ 3. คลิก Move เป็นอันเสร็จสิ้นการย้ายไฟล์ และ จะแสดงรายละเอียดที่แถบสีดำด้านล่างซ้าย ว่าคุณได้ย้ายไฟล์ไปที่โฟล์เดอร์นั้นเรียบร้อยแล้ว จะเห็นได้ว่า สำหรับการอัปเดตของ location picker ซึ่งการใช้งานก็จะคล้ายๆกับรูปแบบเดิมเลย เพียงแต่มีแถบ Suggestion, Starred, และ All location เพิ่มขึ้นมา โดย Google บอกอีกว่าการพัฒนานี้ก็เพื่อให้เข้าถึงไฟล์นั้นๆได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว...
Continue reading