เป็นเรื่องที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย เมื่อ Google Meet ประกาศอัปเตดเพิ่มเติมภาษาในส่วนของคำบรรยาย (Closed captions) และ การแปลภาษา (Translated captions) เพราะอัปเดตรอบนี้มีภาษาไทยด้วยนะ Closed Captions Update! มาเริ่มที่การอัปเดตภาษาของคำบรรยายหรือแคปชันกันก่อนเลย โดยล่าสุดมีเพิ่มเติมขึ้นมาอีก 7 ภาษา จากเดิมที่มีอยู่แล้ว 13 ภาษา ซึ่งหนึ่งในภาษาที่เพิ่มมานั้นคือภาษาไทยนั่นเอง! การเปิดใช้งานคำบรรยายสามารถช่วยให้การประชุมนั้นราบรื่นยิ่งขึ้น ในกรณีที่ผู้พูดพูดเร็วเกินไป หรือการที่เราไม่สันทัดในการฟังภาษานั้นๆ อาจทำให้จับฟังคำไม่ทัน หรือกรณีที่ไม่สะดวกในการเปิดเสียงการประชุม เป็นต้น วิธีตั้งค่าคำบรรยายในการประชุม วิธีเปิด/ปิดคำบรรยาย ไปที่ Google Meet เข้าร่วมการประชุม เลือกเปิด/ปิดคำบรรยายที่แถบด้านล่าง วิธีเปลี่ยนภาษาคำบรรยาย คลิกที่ Menu > เลือก Setting > เลือก Captions เลือกภาษา เพิ่มเติม: ภาษาที่คุณเลือกจะเป็นค่าเริ่มต้นจนกว่าคุณจะเปลี่ยนแปลง ถึงแม้อัปเดตภาษาไทยของรอบนี้จะเป็น beta ทางทีมงานของเราได้ลองใช้งานเปิดฟีเจอร์คำบรรยายที่เป็นภาษาไทยดูแล้ว บอกได้เลยว่าการทำงานของฟีเจอร์นี้ค่อนข้างจับคำไทยได้ดีถึง 90% เลยทีเดียว และถึงแม้ว่าจะมีการพูดภาษาอังกฤษบ้างไทยบ้าง ฟีเจอร์นี้ก็จะเปลี่ยนเป็นคำบรรยายเป็นภาษานั้นๆให้เลยอัตโนมัติ Translate captions Update! ต่อมาเรามาดูการอัปเดตของการแปลภาษากันบ้าง นั่นก็คือ Google Meet ได้มีการเพิ่มเติมภาษาของการแปลขึ้นมา 4 ภาษา จากเดิมมี 7 ภาษา โดยสามารถแปลจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาเหล่านั้นได้อัตโนมัติ วิธีตั้งค่าการแปลภาษาในการประชุม ไปที่ Google Meet เข้าการประชุม คลิกที่ Menu > เลือก Setting > เลือก Captions เปิด Translate captions เลือกภาษาคำบรรยายที่ Language of the Meeting เลือกว่าต้องการแปลเป็นภาษาใดที่ Translate to เพิ่มเติม: Translate captions นี้สามารถใช้งานได้เฉพาะผู้ที่ใช้ Business...
Continue readingสร้างได้เอง ทำได้จริง ด้วย 3 สิ่งนี้ มีแอปพร้อมใช้แน่นอน
หลายองค์กรมีไอเดียที่จะเริ่มต้นนำเทคโนโลยีใหม่ๆอย่างแอปพลิเคชันมาใช้ในองค์กร แต่สิ่งที่กังวลก็คือ “อยากทำแอปพลิเคชัน แต่จะเริ่มต้นที่ตรงไหนก่อนดี” โดยอาจจะมองภาพว่ากว่าจะทำแอปขึ้นมาสักหนึ่งแอปได้นั้นค่อนข้างเป็นเรื่องที่ยุ่งยากเสียเหลือเกิน โดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมทางทรัพยากรด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การวางแผน process นักพัฒนาแอปพลิเคชัน ระยะเวลา และอื่นๆอีกมากมาย และหากเป็นองค์กรที่ไม่มีนักพัฒนาแอปพลิเคชันด้วยแล้ว ก็อาจจะคิดว่าการทำแอปขึ้นมานั้นคงเป็นเรื่องไกลตัวเกินไป ความกังวลเหล่านั้นจะหมดไป…เมื่อรู้จักกับ AppSheet ในปัจจุบันนี้การสร้างแอปพลิเคชันสามารถทำได้ง่ายขึ้นมาก โดยที่ทุกคนสามารถผันตนเองเป็นนักพัฒนาแอปพลิเคชันได้เลย ด้วยการสร้างแอปพลิเคชันด้วย No-code platform อย่าง AppSheet ที่ให้คุณออกแบบแอปพลิเคชันได้โดยไม่ต้องเขียนโค้ด แถมช่วยกระชับเวลาให้คุณมีแอปพลิเคชันได้เร็วขึ้นอีกหลายเท่าตัว เพราะเพียงแค่คุณมีไอเดีย workflow และ AppSheet ก็สามารถมีแอปพลิเคชันเพื่อสนอง Solution ที่คาดหวังไว้ได้แล้ว บทความเพิ่มเติม >>> สรุป AppSheet คืออะไร ? ทำอะไรได้บ้าง ? (ฉบับเข้าใจง่าย) เช่นนั้นแล้ว แน่นอนว่าสิ่งสำคัญก่อนที่จะไปสู่ขั้นตอนการขึ้นแอป เราต้องมาสร้างไอเดีย (Idea) และออกแบบกระบวนการ (Workflow) กันเสียก่อน และแต่ละขั้นตอนมีรายละเอียดอย่างไรบ้างนั้น เราขอนำเสนอไอเดียไว้เป็นไกด์ไลน์ให้สำหรับผู้ที่สนใจอยากจะลองสร้างแอปพลิชันจาก AppSheet ด้วยตนเอง ซึ่งวิธีด้านล่างนี้เป็นวิธีที่ Demeter ICT ใช้จริงในการทำ workshop ก่อนลงมือสร้างแอปพลิเคชันไว้ใช้ในองค์กรของเราเอง IDEA กำหนดจุดประสงค์และความต้องการที่ชัดเจน เหนือสิ่งอื่นใดเราต้องกำหนดจุดประสงค์ก่อนว่า เราจะสร้างแอปขึ้นมาเพื่ออะไร จะสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ในกระบวนการใด จะสร้างขึ้นมาใช้แทนกระบวนการเดิม เพิ่มกระบวนการใหม่ หรือจะนำมาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาใด เป็นต้น WORKFLOW วิเคราะห์กระบวนการทำงานโดยละเอียด ขั้นตอนนี้จะว่าเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดก็ไม่ผิดนัก เนื่องจากเป็นขั้นตอนที่ต้องลงลึกถึงกระบวนการอย่างละเอียด เพื่อให้เกิดความถูกต้องและเกิดความต่อเนื่องในการทำงานของแอปพลิเคชัน โดยการให้สมาชิกที่มีส่วนเกี่ยวข้องและใช้งานกระบวนการนั้นๆอยู่มาช่วยกันระดมความคิดเกี่ยวกับรายละเอียดขั้นตอนของกระบวนการที่ต้องการว่าจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดกระบวนการนั้นคืออะไร มีใครที่เกี่ยวข้องหรือมีหน้าที่ใดในส่วนนั้นบ้าง การทำงานของแอปจะเป็นอย่างไร นอกเหนือจากนั้นถึงควรมีการกำหนดว่าต้องการให้แอปเก็บข้อมูลอะไรบ้าง เพื่อที่แอปจะสามารถบันทึกจากการกรอกข้อมูลบนแอปพลิเคชัน แล้วนำไปจัดเก็บในฐานข้อมูลที่คุณสร้างไว้ เช่น Google Sheets, Excel, Cloud SQL เป็นต้น ตัวอย่างการวางแผนก่อนการสร้างแอปพลิชัน Idea ทีมการตลาดขององค์กรแห่งหนึ่งมีไอเดียที่จะทำแอปพลิเคชัน Marketing Content Approval ไว้สำหรับขออนุมัติบทความหรือคอนเทนต์ต่างๆจากหัวหน้าทีมก่อนที่จะทำการเผยแพร่ออกไป โดยทีมต้องการใช้วิธีการขออนุมัติผ่าน AppSheet เนื่องจากอยากได้ความสะดวกในการส่งแจ้งเตือนจากแอปเข้าไปที่อีเมลของหัวหน้าทีมโดยอัตโนมัติ (Automated Notification) เมื่อมีการ submit คอนเทนต์ผ่านแอปพลิเคชัน...
Continue readingไฟล์หมดอายุเมื่อไหร่ หมดสิทธิ์เข้าถึงทันที!: วิธีตั้งค่าวันหมดอายุไฟล์ใน Google Drive
Google Drive ได้อัปเดต API ในการตั้งค่ากำหนดเวลาการเข้าถึงไฟล์ โดยก่อนหน้านี้มีการอัปเดตการแชร์ไฟล์ใน My Drive ล่าสุด! ได้มีการอัปเดต API นี้ ใน Shared Drives แล้ว การทำโปรเจกต์ในบางครั้งอาจไม่ได้เป็นการประสานงานหรือทำงานร่วมกันกับบุคคลในองค์กรเพียงเท่านั้น ซึ่งอาจจะมีบุคคลที่สามหรือบุคคลนอกองค์กรร่วมโปรเจกต์ครั้งนั้นด้วย หากโปรเจกต์นั้นมีความจำเป็นที่ต้องแชร์ไฟล์ข้อมูลไปยังผู้ร่วมงานภายนอกองค์กรด้วยแล้ว คุณอาจจะอยากจำกัดเวลาในการเข้าถึงไฟล์นั้นเมื่อโปรเจกต์สิ้นสุดลง ซึ่งแน่นอนว่าคุณสามารถตั้งค่าระยะเวลาการเข้าถึงไฟล์ได้ ด้วย Google Drive API : Setting an Expiration Date วิธีตั้งค่าวันหมดอายุไฟล์/โฟลเดอร์ เข้าไปที่ Google Drive เลือกไฟล์หรือโฟล์เดอร์ที่ต้องการแชร์ แล้วคลิก Share ใส่อีเมลผู้รับ แล้วเลือกบทบาทของสิทธิ์การเข้าถึง คลิกที่ลูกศรลง เลือกวันที่และเวลาหมดอายุของไฟล์นั้น หากต้องการนำวันที่หมดอายุออก ให้คลิกนำวันที่หมดอายุออก แล้วกด Done กด Send เพื่อส่ง Tips การตั้งค่าวันหมดอายุไฟล์: คุณสามารถตั้งค่าวันหมดอายุไฟล์ให้กับบทบาทสิทธิ์ที่เป็น viewers, commenters, editors, และ published viewers (หากไฟล์นั้นรองรับบทบาทผู้มีสิทธิ์อ่านเอกสารที่เผยแพร่) การตั้งค่าวันหมดอายุโฟลเดอร์: คุณสามารถตั้งค่าวันหมดอายุไฟล์ให้กับบทบาทสิทธิ์ที่เป็น viewers and commenters เท่านั้น ความสะดวกของฟีเจอร์นี้ก็คือเมื่อจบโปรเจกต์แล้วไฟล์นั้นจะถูกตัดสิทธิ์การเข้าถึงอัตโนมัติหลังจากการตั้งค่า โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องตามลบการเข้าไฟล์ในภายหลังเหมือนก่อน ฉะนั้นก่อนแชร์ไฟล์ออกนอกองค์กรทุกครั้งอย่าลืมจำกัดสิทธิ์การเข้าถึงและตั้งค่าวันหมดอายุไฟล์ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยรักษาความปลอดภัยและป้องกันผลกระทบต่างๆที่อาจเกิดขึ้นภายหลังได้ ฟีเจอร์นี้สามารถใช้ได้กับแพ็กเกจ Google Business Standard, Business Plus, Enterprise Essentials, Enterprise Essentials Plus, Enterprise Standard, Enterprise Plus, Education Fundamentals, Education Standard, the Teaching and Learning Upgrade and Education Plus ...
“Google Workspace Transform the Way We Work” การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานครั้งสำคัญของ Forth Corporation
บริษัท ฟอร์ท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจทางด้านเทคโนโลยีสื่อสารสารสนเทศและอิเล็กทรอนิกส์ทุกรูปแบบเป็นระยะเวลามากกว่า 30 ปี ด้วยพันธกิจการกำกับดูแลกิจการที่ดี โดยมุ่งการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน มีความรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม บริษัทและบริษัทในเครือมีพนักงานทั้งหมดรวมกันมากกว่า 3,400 คน สามารถแบ่งกลุ่มการดำเนินธุรกิจออกเป็น 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ดังนี้ กลุ่มธุรกิจอีเอ็มเอส (B2B)ดำเนินธุรกิจด้านการผลิตและประกอบแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (Print Circuit Board Assembly: PCBA) และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronics Device) ทั้งในรูปแบบของการรับเหมาผลิต (Turnkey) และรับจ้างประกอบ (Consign Part) ให้กับลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ กลุ่มธุรกิจธุรกิจเอ็นเตอร์ไพรซ์ โซลูชั่น (B2G)ดำเนินธุรกิจด้านการจัดซื้อ จัดหา พัฒนาและวางระบบเทคโนโลยีสารสนเทศแบบครบวงจรให้กับโครงการต่างๆ ของภาครัฐและเอกชน รวมทั้งจัดจำหน่ายเครื่องบินส่วนบุคคล และบริการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MROs) สำหรับเครื่องบินพาณิชย์และเครื่องบินส่วนบุคคล กลุ่มธุรกิจธุรกิจสมาร์ท เซอร์วิส (B2C)ดำเนินธุรกิจด้านการให้บริการระบบเติมเงิน รับชำระเงิน และธุรกรรมทางการเงินครบวงจรผ่านตู้อัตโนมัติภายใต้แบรนด์ “บุญเติม” ตลอดจนให้บริการที่ชาร์จยานยนต์ไฟฟ้าแบรนด์ “GINKA” อีกทั้งให้บริการตู้จำหน่ายกาแฟสดและเครื่องดื่มแบบชงสดอัตโนมัติภายใต้แบรนด์ “เต่าบิน โรโบติกบาริสต้า” ให้กับกลุ่มลูกค้ารายย่อยทั่วไป Experience with Google Workspace เนื่องจากธุรกิจในทุกกลุ่มอุตสาหกรรมต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงรอบด้าน บริษัทฯ ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการเร่งปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลง ทั้งการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ วิธีการทำงาน และรูปแบบการดำเนินธุรกิจ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม บริษัทฯ จึงมองหาโซลูชันใหม่อย่าง Google Workspace เพื่อมาช่วยปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนองค์กรสู่ยุคดิจิทัล (Digital Transformation) และเพื่อสนับสนุนการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในด้านต่างๆ ดังต่อไปนี้ Any device, anywhere, anytime การสื่อสารกันได้แบบ Real time และการเข้าถึงข้อมูลได้เร็ว ข้อมูลถูกต้องและตรงกันทุกฝ่าย การใช้เทคโนโลยีของ Google Workspace เพื่อลดกระบวนการทำงานซ้ำซ้อน และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้ดียิ่งขึ้น การปกป้องและควบคุมความปลอดภัยของข้อมูลภายในองค์กร โดยเครื่องมือที่นำมาใช้ในการทำงานร่วมกันภายในบริษัทฯ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทด้วยกัน Communication...
Continue readingมีแอปพลิเคชันได้ง่ายๆใน 7 ขั้นตอนกับ AppSheet
มีแอปพลิเคชันได้ง่ายๆใน 7 ขั้นตอนกับ AppSheet สร้างแอปพลิเคชันได้โดยไม่ต้องเขียนโค้ดสักตัว? บทความนี้เราจะพาคุณมาดูขั้นตอนการสร้างแอปพลิเคชันด้วยแพลตฟอร์ม AppSheet ว่าหน้าตาและรูปแบบของแอปมีอะไรให้เราได้เล่นบ้าง การทำงานของแอปนั้นเป็นอย่างไร? แล้วที่บอกว่าไม่ต้องเขียนโค้ดเลยจะสามารถสร้างแอปขึ้นมาได้จริงๆหรือ? เพียงแค่จบบทความ 7 ขั้นตอนการสร้างแอปกับ AppSheet นี้เท่านั้นที่จะตอบคำถามเหล่านี้ทั้งหมดได้ ไปดูกันเลย… Step 1: เตรียมข้อมูลให้พร้อม อันดับแรกเลย คุณต้องจัดเตรียมข้อมูลให้พร้อมว่าข้อมูลที่คุณต้องการใช้งานหรืออยากให้มีในแอปนั้นมีอะไรบ้าง ซึ่ง AppSheet นั้นสามารถเชื่อมต่อฐานข้อมมูลได้หลายแหล่งด้วยกัน เช่น Google Sheets, Excel, Cloud SQL เป็นต้น ข้อสำคัญคือคุณต้องจัดเรียงตำแหน่งข้อมูลนั้นให้เหมาะสมด้วย โดยข้อมูลนั้นต้องเริ่มปรากฎที่หัวคอลัมน์แถวแรกเท่านั้น เพราะถ้าข้อมูลเริ่มจากคอลัมน์และแถวอื่นจะไม่สามารถกดสร้างแอปได้ How to: 4 Tips เตรียม Spreadsheet ให้พร้อม ง่ายต่อการสร้างแอปด้วย AppSheet Step 2: เชื่อมต่อข้อมูล เมื่อคุณจัดการข้อมูลที่ต้องการเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนนี้จะเป็นการนำข้อมูลเหล่านั้นมาสร้างเป็นแอปพลิเคชัน ยกตัวอย่างหากคุณสร้างฐานข้อมูลใน Sheets สามารถกดสร้างแอปได้ที่ Extension > AppSheet > Creat an app หรือสามารถกดสร้างแอปได้ที่ หน้าเว็บ AppSheet Step 3: เข้าสู่ขั้นตอนการสร้างแอป เมื่อคุณคลิกสร้างแอปแล้ว จะสังเกตว่ามีหน้าต่างต้อนรับสู่การสร้างแอปสีฟ้าปรากฎขึ้น นั่นหมายความว่าคุณได้เป็นนักพัฒนาแอปเต็มตัวแล้ว เมื่อคุณปิดหน้าต่างลง จะเห็นว่าที่ด้านขวามือจะเป็นการ preview หน้าตาของแอปคุณ แต่ละ page ที่ปรากฎบน preview นั้นจะเรียกว่า View ซึ่งเบื้องต้น AI ของ AppSheet จะทำการแสดง view ขึ้นมาจากฐานข้อมูลที่คุณมี โดยที่คุณสามารถปรับแก้ไขหรือเพิ่มเติมทีหลังได้เช่นกัน ทีนี้มาทำความรู้จักกับแถบเมนูด้านซ้ายมือกันว่ามีอะไรที่น่าสนใจและใช้งานบ่อยๆบ้าง? Data: ข้อมูลและจัดการคุณสมบัติของคอลัมน์ต่างๆView: การแสดงหน้าเพจและตั้งค่ารูปแบบการจัดวางของหน้าเพจAction: กำหนด action หรือมุมมองของแต่ละ userBots: การสร้าง automation ของแอปพลิเคชัน Security: ตั้งค่าความปลอดภัยของแอปและกำหนดบทบาทหน้าที่ของ user Setting: ปรับแต่งข้อมูลสำหรับผู้ใช้แอปและตั้งค่าคุณสมบัติของแอปManage:...
Continue readingยกระดับความปลอดภัยจาก Spam บน Google Drive
ยกระดับความปลอดภัย จาก Spam บน Google Drive หากพูดถึงระบบการรักษาความปลอดภัยบนโลกออนไลน์ แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นคือ Google ที่มีระบบ Safety บนโครงสร้างพื้นฐานของระบบคลาวด์ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในระบบปลอดภัยที่สุดในโลก โดยการตรวจหาภัยคุกคามบนอินเทอร์เน็ตแบบอัตโนมัติที่สร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้งานได้อย่างดีเยี่ยม จากอดีตถึงปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของ Google ได้รับการพัฒนาด้านการป้องกันความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ Google Workspace อย่างระบบความปลอดภัยบน Gmail ที่ทำหน้าที่ตรวจหาอีเมลฉบับขาเข้าโดยอัตโนมัติว่าอีเมลฉบับไหนมีแนวโน้มไม่พึงประสงค์หรือดูท่าทีว่าไม่ปลอดภัยต่อผู้รับอีเมลก็จะทำการดึงอีเมลฉบับนั้นไปไว้ในโฟลเดอร์ Spam ทันที อัปเดต! เพิ่มระบบความปลอดภัยสำหรับ Google Drive ล่าสุด Google Drive ก็มีอัปเดตการป้องกันความปลอดภัยบนไดรฟ์เช่นกัน โดยมีการเพิ่มโฟล์เดอร์ Spam เข้ามาไว้สำหรับให้เจ้าของไดร์ฟแยกไฟล์ที่ไม่ต้องการหรือคาดว่าไม่ปลอดภัย และเมื่อเจ้าของไดรฟ์ทำการย้ายไฟล์ไปยังโฟล์เดอร์ Spam แล้ว ก็จะไม่สามารถรับการแจ้งเตือน คอมเมนต์ จากไฟล์นั้นได้ รวมถึงไฟล์นั้นจะไม่ปรากฎบนไดรฟ์อีกต่อไป ซึ่งฟีเจอร์นี้จะเปิดให้ใช้ได้ภายในเดือนมิถุนายน 2566 วิธีแยกไฟล์ไปยัง Spam บน Google Drive เข้าไปที่ Google Drive คลิกที่ Shared with Me เลือกไฟล์ที่ต้องการ สามารถเลือกแบบหลายไฟล์พร้อมกันได้ โดยการทำเครื่องหมายถูกที่หน้าชื่อไฟล์นั้นๆ คลิกขวาไฟล์ที่เลือกแล้วคลิก Report หรือเลือกลากไฟล์ที่ต้องการไปที่โฟลเดอร์ Spam ได้เช่นเดียวกัน เลือกเหตุผลที่ต้องการ report เพื่อรายงานไปยัง Google เพื่อตรวจสอบการละเมิดนโยบาย โดยมีหัวข้อดังนี้ Spam or fraud สแปมหรือการฉ้อโกง Disturbing or inappropriate content การรบกวนหรือเนื้อหาไม่เหมาะสม Copyright violation การละเมิดลิขสิทธิ์ Child endangerment เป็นภัยต่อเด็ก Other ilegal activity อื่นๆที่ผิดกฎหมาย 6. ทำเครื่องหมาย ✓ หากต้องการบล็อคอีเมลเจ้าของไฟล์ 7. คลิก Report เป็นอันเสร็จสิ้น Tips...
Continue readingทำความรู้จักกับ No Code Platform คืออะไร? ทำไมถึงได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้
ทำความรู้จักกับ No Code Platform คืออะไร? และทำไมถึงได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้ ในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว บวกกับการแข่งขันด้านความไวของธุรกิจที่มีมากขึ้น ทำให้หลายธุรกิจมองเห็นถึงความสำคัญในการนำโซลูชันมาช่วยปรับปรุงกระบวนการทำงานหรือพัฒนาธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ ระบบต่างๆ หรือแอปพลิเคชัน ซึ่งในการพัฒนาแต่ละครั้งมักจะมีรายละเอียดปลีกย่อยค่อนข้างมาก จำเป็นต้องพัฒนาด้วยผู้เชี่ยวชาญหลายส่วน เช่น การออกแบบ process การเขียนโค้ดด้วยภาษาต่างๆ หรือการออกแบบ UX/UI ที่ต้องสร้างประสบการณ์ที่ดีต่อผู้ใช้งาน ล้วนแล้วแต่ใช้ระยะเวลาแทบทั้งสิ้น และหากองค์กรที่ไม่มีนักพัฒนาโปรแกรม หรือไม่มีความรู้ในการเขียนโปรแกรมเลยล่ะ …. พอจะมีตัวช่วยอะไรบ้าง?… No-Code Platform คืออะไร ด้วยปัญหามากมายเหล่านั้น เป็นเหตุให้ผู้ประกอบธุรกิจซอฟต์แวร์มากมาย ได้พัฒนาซอฟต์แวร์ประเภท “No-Code Platform” ขึ้นมา ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการแบบ Graphical User Interface (GUI) ในลักษณะที่เป็นการคลิก ลาก วาง ปุ่มหรือเทมเพลต ด้วยเครื่องมือที่ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์กับบุคคลหรือองค์กรที่ไม่มีความเชี่ยวชาญในการเขียนโปรแกรมที่ซับซ้อน ให้สามารถพัฒนาโปรแกรมได้ด้วยตนเอง หรือแม้แต่องค์กรที่มีโปรแกรมเมอร์ ก็ยังเลือกใช้ No-Code Platform มาต่อยอดเพื่อช่วยทุ่นแรง เนื่องจากต้องการย่นระยะเวลา เพิ่มความสะดวก และยังช่วยลดต้นทุนของทรัพยากรด้านต่างๆ ได้อีกด้วย ตัวอย่างซอฟต์แวร์ ที่เป็น No-Code Platform ตัวอย่างแพลตฟอร์มแบบไม่ต้องเขียนโค้ด ที่นักพัฒนาสร้างขึ้นมาเพื่อให้ตอบโจทย์ในโซลูชันที่แตกต่างกันไปมีมากมายหลายประเภทให้เลือกใช้ เช่น Website– สร้างเว็บไซต์ที่ไม่ต้องเขียนโค้ด ลักษณะการทำงานแบบ Drag and Drop สามารถปรับแต่ง element ต่างๆได้ตามต้องการ: WordPress, Webflow เป็นต้นEmail automation– เครื่องมือการส่งอีเมลแจ้งเตือนแบบอัตโนมัติ สามารถปรับรูปแบบและหน้าตาในการสร้างอีเมลนั้นๆได้ เป็นลักษณะ Drag and drop เช่นกัน ตัวอย่างเช่นการส่งแจ้งเตือน welcome email, order confirmations, shipping confirmations และอื่นๆ: Mailchimp, Mailerlite, Active Campaign เป็นต้นChat automation– จัดการการตอบแชทอัตโนมัติ หรือป้อนข้อมูลเป็น auto chat...
Continue readingปรับโฉมฟีเจอร์ Location picker ช่วยจัดการย้ายไฟล์บนไดร์ฟให้เร็วกว่าเดิม
ปรับโฉมฟีเจอร์ Location picker จัดการย้ายไฟล์บนไดร์ฟให้เร็วกว่าเดิม มาแล้ว! location picker หรือ เครื่องมือเลือกตำแหน่งการย้ายไฟล์ โฉมใหม่! ของ Google Drive เป็นการปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ UI บนเบราว์เซอร์ ที่จะช่วยให้คุณเลือกจัดการไฟล์หรือโฟล์เดอร์ไปยังตำแหน่งปลายทางที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่ารูปแบบเดิม รูปแบบ location picker ใหม่เป็นอย่างไร? แถบบนของหน้าต่าง location picker จะมี 3 หัวข้อให้คุณเลือก นั่นคือ Suggestion (แนะนำ), Starred (ที่ติดดาว) และ All location (พื้นที่ทั้งหมด) เพื่อให้คุณเข้าถึงโฟล์เดอร์ที่ต้องการจะย้ายได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น แสดงรายละเอียดเส้นทางของไฟล์ไปยังโฟล์เดอร์ที่ย้าย และหากโฟล์เดอร์ที่คุณเลือกนั้นเป็นโฟล์เดอร์ว่าง จะปรากฎด้วยรูปภาพโฟล์เดอร์ว่างเปล่า หรือหากคุณอยากจะสร้างโฟล์เดอร์ใหม่ก็ทำได้เช่นเดียวกัน หากในแถบ Suggestion ได้แสดงโฟล์เดอร์ที่คุณคาดว่าไม่น่าเกี่ยวข้อง คุณสามารถทำการลบโฟล์เดอร์นั้นออกจากการแนะนำได้เลย เมื่อเสร็จสิ้นการย้ายไฟล์ จะแสดงรายละเอียดที่แถบสีดำด้านล่างซ้าย ว่าคุณได้ย้ายไฟล์ไปที่โฟล์เดอร์นั้นเรียบร้อยแล้ว หากไฟล์ที่คุณมีเป็นไฟล์ชนิด “view only (สำหรับดูเท่านั้น)” จะไม่สามารถทำการจัดการย้ายไฟล์ได้ เนื่องจากคุณไม่ได้เป็นเจ้าของไฟล์ดังกล่าว วิธีการโอนย้ายไฟล์ ด้วย location picker รูปแบบใหม่ ใน 3 ขั้นตอน คลิกขวาที่ไฟล์ที่ต้องการจะโอนย้าย เลือก > Move to 2. เลือกที่แถบ Suggestion, Starred, หรือ All location ได้ตามต้องการ แล้วเลือกโฟล์เดอร์ปลายทางที่ต้องการจะย้ายไฟล์ 3. คลิก Move เป็นอันเสร็จสิ้นการย้ายไฟล์ และ จะแสดงรายละเอียดที่แถบสีดำด้านล่างซ้าย ว่าคุณได้ย้ายไฟล์ไปที่โฟล์เดอร์นั้นเรียบร้อยแล้ว จะเห็นได้ว่า สำหรับการอัปเดตของ location picker ซึ่งการใช้งานก็จะคล้ายๆกับรูปแบบเดิมเลย เพียงแต่มีแถบ Suggestion, Starred, และ All location เพิ่มขึ้นมา โดย Google บอกอีกว่าการพัฒนานี้ก็เพื่อให้เข้าถึงไฟล์นั้นๆได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว...
Continue reading