ช่องทางติดต่อหลายช่องทาง ทำให้ลูกค้าพอใจจริงหรอ?

หลายๆคนก็คงรู้กันดีอยู่แล้วว่า ในปัจจุบันการซื้อหรือขายสินค้าสามารถทำได้หลายช่องทางมากๆ ไม่ว่าจะเป็น หน้าร้าน เว็บไซต์ซื้อของออนไลน์ หรือจะเป็น Social Media ต่างๆ ดังนั้นร้านค้าหลายๆร้าน จึงต้องปรับตัวให้เข้ากับพฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบัน โดยส่วนมากก็จะเปิดช่องทางการติดต่อสื่อสาร หรือ ช่องทางการขายเพื่อรองรับลูกค้าที่มาจากหลากหลายช่องทางนั้นให้ได้มากที่สุด เพราะคิดว่ายิ่งเปิดช่องทางมาก ก็จะรับลูกค้าได้มากเช่นกัน แต่… แต่การที่เปิดช่องทางการติดต่อหลายทาง ก็ใช่ว่าลูกค้าจะพอใจแล้ว เพราะจริงๆปัจจัยของการเปิดหลากหลายช่องทางนั้น เพื่อทำให้ลูกค้าสะดวกที่จะติดต่อเรามามากที่สุด แต่สิ่งที่จะทำให้ลูกค้าพอใจจริงๆนั้น คือการบริการที่ดี ถูกต้อง ชัดเจน และรวดเร็ว ดังนั้นเราจึงต้องกลับมาถามตัวเองว่า แล้วแต่ละช่องทางที่เรามี มีคนตอบลูกค้าตลอดไหม เราสามารถตอบลูกค้าทุกช่องทางได้รวดเร็วเหมือนกันไหม แล้วคนที่ตอบแต่ละช่องทางมีข้อมูลที่ลูกค้าต้องการไหม หรือจะเป็นการพูดคุยกับลูกค้าดีไหม ทำให้ลูกค้าพอใจได้จริงๆรึป่าว ซึ่งมันก็จะส่งผลไปถึงต้นทุนในการจ้างพนักงานที่เพิ่มขึ้น รวมไปถึงค่าเสียโอกาสต่างๆที่เกิดขึ้น ซึ่งปัญหาเหล่านี้คนไม่สามารถแก้ไขได้อย่างแน่นอน หรือถ้าจะแก้ไขได้จริงๆ เราต้องจ้างพนักงานมากี่คนถึงจะเพียงพอ ซึ่งในปัจจุบันก็ได้มีบริษัทมากมายทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น Uber, Agoda, FoodPanda ได้นำ Software ที่ชื่อว่า Zendesk มาแก้ปัญหาที่เรากล่าวไว้ข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นการตอบลูกค้า การเก็บข้อมูลลูกค้า และจุดเด่นของ Software ตัวนี้ คือ การรวบรวมช่องทางการสื่อสารระหว่างเรากับลูกค้าไว้ในที่เดียว และยังสามารถบริการทุกช่องทางให้รวดเร็วเท่ากันได้อีกด้วย ที่นอกจากจะทำให้ลูกค้าได้รับการบริการที่ดี และพึงพอใจในตัวเราแล้ว ยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการทำงาน และตัวพนักงานเองอีกด้วย เพราะเจ้า Zendesk Software ตัวนี้ จะสามารถเพิ่มประสิทธิในการทำงาน เช่น ถ้าปกติเราจะแบ่งพนักงานในการสื่อสารกับลูกค้าในแต่ละช่องทาง แต่ด้วย Zendesk ใช้ระบบ Omnichannel ที่จะรวบรวมช่องทาง ไม่ต้องแบ่งพนักงานในแต่ละช่องทาง และยังสามารถทำให้ทุกช่องทางตอบได้เร็วขึ้นอีกด้วยเพียงหน้าจอเดียว ซึ่งมันส่งผลถึงต้นทุนในการจ้างพนักงานก็จะน้อยลงไปด้วย แต่ได้ผลลัพธ์ของงานที่เท่าเดิมหรือดีกว่าเดิม ก็จะทำให้คุณอยู่เหนือคู่แข่งได้อย่างสบายๆเลย ทดลองใช้ Zendesk trial ฟรี สอบถาม ราคา Zendesk ติดต่อ บริษัท ดีมีเตอร์ ไอซีที จำกัด ผู้ให้บริการระบบ Zendesk ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ – Zendesk Thailand Partner สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ราคา Zendesk พร้อมโปรโมชันพิเศษ โทร. 02-030-0066 096-804-5482 (คุณยิ่ว),...

Continue reading

เพิ่มความปลอดภัยของบัญชีอีเมล ด้วยการยืนยันแบบ 2 ขั้นตอน (2 Step Verification)

2 Step Verification คืออะไร ? 2 Step Verification หรือการยืนยันตัวตนในการลงชื่อเข้าใช้บัญชีอีเมลแบบ 2 ขั้นตอน คือ การใส่รหัสผ่านในขั้นตอนแรก หลังจากนั้นระบบจะมีการส่งรหัสไปยังโทรศัพท์มือถือที่ได้ทำการลงทะเบียนไว้ และนำรหัสนั้นมาใส่อีกครั้งเป็นขั้นตอนที่ 2 หากถูกต้อง เราจะสามารถเข้าใช้งานบัญชีอีเมลได้ ซึ่งมีความปลอดภัยค่อนข้างสูง มักจะใช้ในองค์กรขนาดใหญ่ หรือผู้ใช้งานทั่วไปที่ต้องการความปลอดภัยของบัญชี เพราะหากมีผู้ไม่หวังดีแอบรู้รหัสผ่านก็จะสามารถเข้าถึงบัญชีและข้อมูล ทั้งหมดได้ทันที แต่หากเราเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้ จะทำให้เรารู้ทันทันว่ามีใครแอบเข้าบัญชีอีเมลเราหรือไม่ นั่นเป็นที่มาของคำว่า  “การยืนยัน 2 ขั้นตอน”  แต่ในทางกลับกัน ผู้ใช้งานส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเปิดใช้ เนื่องจากมีความยุ่งยากพอสมควร เพราะต้องนำรหัสที่ได้รับมาพิมพ์เองอีกครั้ง คล้ายกับเวลาเราได้รับ OTP จากธนาคารนั่นเอง โดยทาง Google ได้เล็งเห็นปัญหานี้ จึงออกแบบระบบมาใหม่เพื่อที่จะทำให้บัญชีของเราได้รับการป้องกันอย่างปลอดภัย และยังใช้งานสะดวกมากยิ่งขึ้น  ออกแบบการใช้งานใหม่ ปลอดภัยยิ่งขึ้น ตั้งแต่วันที่ 7 กรกฎาคม 2563 เป็นต้นไป หากเราเปิดใช้งาน การยืนยันบัญชีแบบ 2 ขั้นตอน (2 Step Verification) จากเดิมเราต้องใส่รหัสผ่านขั้นที่ 1 และใส่รหัสที่ได้รับทางโทรศัพท์มือถือ เป็นขั้นตอนที่ 2 บางคนอาจจะมองว่ายุ่งยากเกินไป  โดยทาง Google ได้มีการปรับปรุงการใช้งานให้มีความง่ายขึ้น ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 ใส่รหัสผ่าน และจะได้รับการแจ้งเตือนทางโทรศัพท์ที่ทำการลงทะเบียนไว้  ขั้นตอนที่ 2 เลือกคำตอบตามหน้าจอที่ได้มีการถามให้ถูกต้อง  เพียงเท่านี้เราก็จะสามารถเข้าบัญชีอีเมลของเราได้ ซึ่งจะสะดวกมากยิ่งขึ้นเพราะกดเพียงไม่กี่ปุ่ม แทนการนำรหัสหลายๆ ตัวมาใส่ และที่สำคัญไปกว่านั้นบัญชีของท่านก็ยังปลอดภัยขึ้นอีกระดับ แนะนำให้คนที่ผูกบัญชีอีเมลกับทางธนาคาร หรือรับส่งอีเมลที่มีความลับ  ดูเพิ่มเติม ได้ที่ เปิดใช้งานการยืนยันแบบ 2 ขั้นตอน  G Suite เพื่อการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ บริษัท ดีมีเตอร์ ไอซีที จำกัด พาร์ทเนอร์ Google ในประเทศไทย อย่างเป็นทางการ รายละเอียดแพ็คเกจ 02-030-0066...

5 Pain Points ที่ทำให้คุณอาจเสียลูกค้าคนสำคัญได้โดยไม่รู้ตัว

ในชีวิตประจำวันของเรา ไม่ว่าจะออกจากบ้านไปทำงาน จับจ่ายใช้สอยสินค้าต่างๆ หรือแม้แต่ติดต่อธุรกรรม เชื่อว่าเราล้วนต่างเคยประสบปัญหาใดปัญหาหนึ่งที่พาลให้อารมณ์เสีย จนทั้งวันหม่นหมองด้วยกันมาแล้วทั้งสิ้น ในแง่ของการตลาด เราเรียกปัญหาที่ลูกค้าพบเจอจากสาเหตุบางอย่าง ที่ทำให้เกิดความรู้สึกด้านลบหรือทำให้ใช้ชีวิตลำบากมากขึ้นเหล่านั้นว่า “Pain Point” แล้ว Pain Point สำคัญอย่างไร? Pain Point ส่งผลโดยตรงถึงประสบการณ์ที่ลูกค้าได้รับ ซึ่งประสบการณ์ยอดแย่เหล่านี้เองก็ได้จุดประกายไอเดียจนเกิดเป็นธุรกิจใหม่ๆ ขึ้นมามากมาย ยกตัวอย่างเวลาที่เราจะติดต่อสอบถามปัญหาสินค้าหรือบริการแต่ก็ไม่ได้รับการตอบกลับสักที ไม่ก็ต้องบอกเล่าปัญหาซ้ำๆ อย่างน่าเบื่อหน่าย ประสบการณ์ด้านลบที่มีต่อแบรนด์นี้เองที่ทำให้ลูกค้าปันใจไปใช้แบรนด์อื่นที่เป็นคู่แข่งแทนอย่างง่ายดาย  ในขณะเดียวกันหากอีกแบรนด์สามารถแก้ Pain Point เหล่านี้ และทำให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีได้ ก็จะมีแนวโน้มสูงมากว่าลูกค้าจะกลับมาซื้อหรือใช้บริการซ้ำ แบรนด์นั้นจะได้เปรียบในฐานะการสร้างจุดเด่นด้านความแตกต่าง (Differentiation) ได้ลูกค้ากลุ่มใหม่ที่มองว่าแบรนด์เก่าเป็นปัญหา อีกทั้งจากการวิจัยยังพบว่าลูกค้ายินยอมที่จะจ่ายเงินเพิ่ม หากว่ามันคุ้นค่าให้พวกเขาได้รับประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นอีกด้วย เรามาดู 5 Pain Points ที่ลูกค้ามองว่าทำให้ตนได้รับประสบการณ์ยอดแย่มากที่สุดกัน 01 ต้องรอ/ใช้เวลานานในการติดต่อกับเจ้าหน้าที่ เรื่องของเวลายังคงเป็นอะไรที่สำคัญที่สุดเสมอ จากการสำรวจของ Zendesk บริษัทซอฟต์แวร์ชั้นนำที่โดดเด่นเรื่องการสร้างประสบการณ์ลูกค้า ซึ่งได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลจากการสำรวจเจ้าหน้าที่ Customer Service 1,000 คน เจ้าหน้าที่บริหารด้านประสบการณ์ลูกค้า 300 คน หัวหน้าฝ่ายขาย 300 คน และลูกค้า 3,000 คนจากทั่วทุกมุมโลก พบว่า การที่ต้องรอเป็นอะไรที่ลูกค้ามองว่าทำให้ตนได้รับประสบการณ์ที่แย่มากที่สุด ไม่ว่าใครก็คงไม่อยากเป็นฝ่ายต้องรอกันทั้งนั้น จริงไหม? 02 ระบบตอบกลับอัตโนมัติที่ทำให้เข้าถึงยาก ลองนึกภาพว่าตัวคุณเองกำลังเผชิญปัญหาที่ต้องการการแก้ไขเสียเดี๋ยวนั้น แต่พอติดต่อไปหาเจ้าหน้าที่กลับเจอแต่ระบบตอบกลับที่โมโนโทนเสียเหลือเกิน ก็พาให้รู้สึกเข้าถึงเจ้าหน้าที่ได้ยากและเสียอารมณ์ได้ง่ายๆ 03 ต้องบอกข้อมูลเดิมๆ ซ้ำๆ ถือเป็นปัญหายอดฮิตเลยก็ว่าได้ ลูกค้ามักมีความคาดหวังให้แบรนด์มีการประสานงานกันเองภายใน ไม่ใช่ติดต่อไปที่เจ้าหน้าที่คนหนึ่งทีแต่กลับถูกโยนเรื่องไปอีกคนหนึ่ง แล้วก็ต้องคอยบอกเล่าปัญหาเดิมๆ ซ้ำๆ  04 เจ้าหน้าที่ให้บริการไม่เป็นมิตร เจ้าหน้าที่ให้บริการเป็นเหมือนด่านหน้าของแบรนด์ที่ช่วยให้ลูกค้าได้รู้จักกับแบรนด์มากยิ่งขึ้น หากได้รับการตอบกลับที่ไม่ดีจากที่อาจกำลังเป็นลูกค้าก็กลายเป็นขอถอยห่างไปไกลๆ ได้ ดังนั้นเจ้าหน้าที่ที่รับหน้าที่บริการลูกค้าจึงควรมุ่งเน้นถึงความเข้าอกเข้าใจในตัวลูกค้าให้มาก และตอบกลับอย่างประนีประนอมอยู่เสมอ 05 เจ้าหน้าที่ไม่มีข้อมูลเพียงพอ ไม่เพียงแต่การให้บริการให้เป็นมิตรเท่านั้นที่ต้องใส่ใจ เพราะในเรื่องของข้อมูลความรู้ก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะคงไม่มีใครที่ให้คำตอบที่ถูกต้องกับลูกค้าได้มากไปกว่าเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบอีกแล้ว และนี่ก็เป็นตัวอย่าง 5 Pain Points จากการสำรวจที่ลูกค้ามองว่าทำให้ตนได้รับประสบการณ์ยอดแย่มากที่สุด ขอพึงระลึกไว้ว่าอะไรคุณมองว่าเป็นปัญหาจนเกิดเป็นความรู้สึกด้านลบนั้น ลูกค้าของคุณเองก็อาจรู้สึกได้ไม่ต่างกัน ในทางตรงกันข้ามหากว่าเราสามารถนำเสนอทางแก้ Pain Points...

Continue reading

ตรวจสอบความปลอดภัยของรหัสผ่านได้ง่ายๆด้วย G suite

ในฐานะผู้ดูแลระบบ G Suite คุณสามารถตรวจสอบระดับความปลอดภัยของรหัสผ่านของผู้ใช้งานได้ โดยฟีเจอร์การตรวจสอบความปลอดภัยนี้จะช่วยให้ผู้ดูแลระบบทราบได้ว่ารหัสผ่านที่ผู้ใช้งานตั้งค่านั้นมีความปลอดภัย มากน้อยเพียงใด โดยมีขั้นตอนดังนี้ ไปที่คอนโซลผู้ดูแลระบบของ G Suite (ที่ admin.google.com) ไปที่ความปลอดภัย > การตรวจสอบรหัสผ่าน ตรวจสอบความยาวและความรัดกุมของรหัสผ่านของผู้ใช้แต่ละราย หากมีจำนวนแถบสีแดงและสีเหลืองที่ไม่เต็มช่องหมายความว่ารหัสผ่านยังไม่รัดกุมหรืออาจจะคาดเดาได้ง่าย ตามตัวอย่างด้านล่าง ผู้ดูแลระบบสามารถแจ้งให้ผู้ใช้งานเปลี่ยนรหัสผ่านได้ในทันที G Suite เพื่อการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ บริษัท ดีมีเตอร์ ไอซีที จำกัด พาร์ทเนอร์ Google ในประเทศไทย อย่างเป็นทางการ รายละเอียดแพ็คเกจ 02-030-0066...

G Suite ตอบโจทย์องค์กรยุคใหม่ ด้วยฟีเจอร์การทำงานร่วมกัน

หลาย ๆ องค์กรเริ่มมีการปรับตัวให้เข้ากับยุคปัจจุบันที่เรียกว่า ยุคดิจิตอล มีการปรับรูปแบบการทำงานไปตามสถานการณ์ไม่ว่าจะเป็นการ Work Form Home การประชุมออนไลน์ หรือการแชร์ข้อมูลผ่านระบบคลาวด์ (Cloud) ซึ่ง G Suite นั้นสามารถตอบโจทย์ให้กับองค์กรยุคใหม่ได้ด้วยฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่จะทำให้การทำงานร่วมกัน (Collaboration) ของคนภายในองค์กรมีประสิทธิภาพและสะดวกสบายมากขึ้น ไม่ว่าจะทำงานที่ไหน เวลาใดก็สามารถเข้าถึง G Suite ได้   โดยเราสามารถแบ่งฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่สามารถทำงานร่วมกันได้ ดังนี้ 1. เชื่อมต่อระหว่าง Gmail, Google Chat, Google Calendar, Google Meet องค์กรสามารถมีอีเมลที่เป็นโดเมนเนมขององค์กรเองได้จาก Gmail เช่น you@yourcompany.com โดยรับส่งอีเมลได้อย่างไม่จำกัด และในอีเมลยังสามารถใช้ Google Chat ในการพูดคุยกับคนในองค์กรได้ นอกจากนี้ยังสามารถจัดการวางแผนนัดประชุมจาก Google Calendar และแชร์ตารางให้กับเพื่อนร่วมงาน อีกทั้งองค์กรสามารถจัดประชุมออนไลน์ได้ด้วย Google Meet ที่เข้าร่วมสูงสุดได้ถึง 250 คน 2. สร้างเอกสารร่วมกัน คนในองค์กรสามารถเข้าถึง สร้าง แก้ไขเอกสารร่วมกันผ่านฟีเจอร์ต่าง ๆ เช่น Docs, Sheets, Slides ฟีเจอร์นี้จะทำให้ทุกคนสามารถ Brainstorms ร่วมกันได้ง่ายขึ้น โดยเอกสารจะแสดงข้อมูลแบบเรียลไทม์ผ่านหน้าจอของทุกคนไป พร้อม ๆ กัน 3. แชร์ข้อมูลได้ทุกที่ ทุกเวลา ความโดดเด่นของ G Suite อีกหนึ่งอย่างคงหนีไม่พ้นกับฟีเจอร์ Google Drive ที่สามารถเก็บข้อมูลบนคลาวด์ (Cloud) ทำให้คนภายในองค์กรหรือคนอื่น ๆ ที่เราอยากจะแชร์สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ทุกที่ ทุกเวลา ไม่ต้องปริ้นท์กระดาษ หรือเปลืองพื้นที่ Hard Disk ในคอม 4. ควบคุมข้อมูลอย่างปลอดภัย แน่นอนว่าทุกอย่างใน G suite จะต้องปลอดภัย เป็นความลับ และไม่รั่วไหล ซึ่งองค์กรหายห่วงได้จากฟีเจอร์ Google Vaults  ที่เป็นเหมือนห้องนิรภัย...

Continue reading

ขายของให้ปังในจีนโดยใช้ Mini Program Live-streaming

WeChat ได้มีฟังก์ชั่นใหม่นั้นคือโปรเเกรม live ผ่านเเอป WeChat Mini Program หรือ เรียกว่า Mini Program Live-streaming เพื่อให้เจ้าของเเบรนด์ได้ทำการตลาดเชิงโต้ตอบกับผู้บริโภคผ่านทางเเอป WeChat Mini Programได้โดยตรง เพื่อให้เจ้าของเเบรนด์ต่างๆสามารถเข้าถึงเเละคุยกับลูกค้าเเบบ Real time สามารถตอบคำถามที่ลูกค้าอยากรู้ได้ทันที ซึ่งเเอปนี่จะมีความคล้ายกับ FB Live อุตสาหกรรม Live-streaming ของจีนมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่าน อย่างไรก็ตามก็มีการทำสำรวจเเละพบว่าการ Live-streaming เติบโต 238% ต่อปีเลยทีเดียว เเละช่วงเวลานี้ที่สังคมต้องเว้นระยะห่างธุรกิจจึงยิ่งต้องพึ่งพารายได้จากอีคอมเมิร์ซมากขึ้นเรื่อยๆ มินิ โปรแกรมไลฟ์สตรีมจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยสร้างและรักษาความสัมพันธ์ระหว่างเเบรนด์กับผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งเเบรนด์เเรกที่ได้ลองเข้าร่วม WeChat live streaming คือ Perfect Diaryเป็นแบรนด์ความงามทำให้ เเบรนด์ได้กระเเสตอบรับดีจากผู้ชมในWeChatเพิ่มขึ้น 10 เท่าเเละมีการซื้อสูงกว่าแพลตฟอร์มอื่น ๆถึง สามเท่าเลยทีเดียว ความได้เปรียบของการมี Mini Program Live-streaming คืออะไร ? ผู้ใช้สามารถสแกนรหัส QR ของ Mini Program บน WeChat เพื่อเข้าสู่ Mini Program Live-streamingโดยไม่ต้องดาวน์โหลดซอฟต์แวร์หรือเเอปใดเพิ่มเติม ลูกค้าสามารถรับชมการถ่ายทอดสดในเเอป WeChat Mini Program ได้เลย  และเจ้าของงเบรนด์สามารถจัดกิจกรรม หรือเกมสนุกๆ มีโปรโมชั่นพิเศษ เพื่อให้ลูกค้าได้มีส่วนร่วมในการช้อปปิ้ง ยิ่งไปกว่านั้นก็สามารถทำการตลาดแบบเค้าถึงลูกค้าได้ดีเหมือนมาซื้อหน้าช้อป ข้อดีของการใช้ WeChat Mini Program Live-streaming หรือ ไลฟ์สด ? สามารถสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพผ่านมินิโปรแกรมไลฟ์สด เเละการจราจรเป็นของผู้ขายทางเดียว เเละ ารทำธุรกรรมทั้งหมดเกิดขึ้นใน WeChat ทั้งการซื้อเเละจ่ายเงินในเเอปเดียวทำให้ลูกค้ารู้สึกปลอดภุยในการชื้อของในเเอปเเละการจ่ายเงินซึ่งเอื้อต่อการดำเนินงานในระยะยาวสำหรับเจ้าของเเบรนด์ ข้อจำกัดน้อยเเละ ดำเนินกานสมัครเเอปง่ายเเละปลอดภัย ซึ่งเจ้าของเเบรนด์สามารถสมัครใช้ฟังก์ชั่นสตรีมมิง (Live-streaming) ในWeChat Mini Program และสามารถทำการตรวจสอบเสร็จภายในหนึ่งวัน สามารถช่วยโปรโมทเเบรนด์ได้เป็นอย่างดี เเละ โต้ตอบกับลูกค้าผ่านฟังก์ชั่น เช่น...

Continue reading

Live Chat Support อีกหนึ่งช่องทางฮิตที่ลูกค้าเลือก

Live chat support เป็นอีกหนึ่งโอกาสทางธุรกิจสำหรับการพัฒนาช่องทางเข้าหาลูกค้าแบบส่วนตัว ระบบ Live chat จะทำให้ซัพพอรต์ทีมสามารถสอบถามปัญหาต่างๆ จากลูกค้าและเสนอความช่วยเหลือในช่วงเวลาที่ลูกค้าต้องการมากที่สุด ช่วยในการบูทยอดขายทาง Ecommerce และลดเวลาการรอของลูกค้า นอกจากนี้ Live Chat ยังเป็นหนึ่งในช่องทางซัพพอรต์ที่เติบโตเร็วที่สุด อ้างอิงจาก Zendesk Customer Experience Trends Report 2020 พบว่ากว่าสี่เท่าของลูกค้า Zendesk มีการนำ Live Chat มาประยุกต์ใช้ เป็นเวลากว่า 5 ปีแล้ว รู้จักระบบ Chat Support Live Chat เป็นช่องทางสนทนาซัพพอรต์ลูกค้าแบบเรียลไทม์ 1:1 เพียงกรอกข้อมูลเล็กน้อยก็จะมีป๊อปอัพหน้าต่างแชทให้เริ่มบทสนทนากับลูกค้าได้แบบเชิงรุก คอยช่วยเหลือลูกค้าในเวลาที่มีปัญหาข้อสงสัยต่างๆ ลองนึกถึงครั้งล่าสุดที่คุณเปิดเว็บไซต์สงสัยในสินค้าบางอย่าง แล้วก็มีหน้าต่างแชทป๊อปอัพให้คุณสามารถส่งข้อความขอความช่วยเหลือได้ทันที แค่คลิกก็สามารถเชื่อมต่อเข้าหาเจ้าหน้าที่ที่ประจำการอยู่ได้อย่างง่ายดาย Live Chat ทำให้ลูกค้าสามารถเริ่มบทสนทนาได้ในเวลาที่ต้องการ ยกตัวอย่างเช่น บางทีคุณอาจจะนึกถึงตอนที่สมัครช่องทางการเงินทางออนไลน์ แล้วนึกขึ้นได้ว่าต้องระบุธุรกิจอะไรสักอย่างลงไปในแอคเค้าท์ ปุ่มแชทที่อยู่ในที่ที่พอเหมาะพอเจาะในตอนนั้นพอดีก็จะพาคุณเข้าไปอยู่ในช่องทางเดียวกันกับเจ้าหน้าที่แบบ 1:1 7 เหตุผลที่ธุรกิจของคุณควรใช้ Live Chat Support 1. เข้าถึงแบบเรียลไทม์ Live Chat Support ทำให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงเจ้าหน้าที่ได้อย่างง่ายดาย เพียงหน้าต่างแชทที่ติดตั้งไว้บนมุมหนึ่งของหน้าเว็บ กรอกข้อมูลเล้กน้อยก็สามารถเข้าถึงเจ้าหน้าที่ได้แบบเรียลไทม์ โดยไม่ต้องต่อสายโทรคุยเลย การตอบกลับที่รวดเร็วทันใจ ปัญหาที่ถูกแก้ไขอย่างรวดเร็ว โดยไม่จำเป็นต้องกดโทรหรือแจ้งปัญหาซ้ำๆ เองก็ทำให้ลูกค้ามีความรุ้สึกที่ดีต่อแบรนด์ตามไปด้วย 2. ทำอย่างอื่นได้พร้อมกัน แม้ว่าอาจต้องรอคิวการตอบกลับของเจ้าหน้าที่บ้าง แต่ลูกค้าก็สามารถทำอย่างอื่นไปพร้อมกันได้ระหว่างที่รอ อาจเข้าไปหาข้อมูลเพิ่มเติม หรือเลือกดูในหน้าเว็บอื่นก็สามารถทำได้ 3. ทำความเข้าใจซ้ำผ่านบทสนทนาที่ถูกบันทึก ข้อดีของบทสนทนาที่ถูกบันทึกเป็นตัวหนังสือ คือการที่สามารถย้อนกลับขึ้นไปอ่านและทำความเข้าใจซ้ำได้ ต่างจากการโทรผ่านโทรศัพท์มือถือที่เป็นการฟังด้วยเสียง และมักจำเป็นต้องใช้กระดาษจดโน๊ตไว้อีกที การมีข้อความให้เลื่อนกลับขึ้นไปอ่านจึงทำให้การแนะแนวทางแก้ไขปัญหาเป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่งขึ้น 4. Live Chat ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย การติดต่อหาเจ้าหน้าที่ผ่านการโทรเป็นช่องทางที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายมานาน หากแต่ก็ทำให้ลูกค้าต้องแบกรับค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ด้วยเช่นกัน ยิ่งต้องถือสายรอนานๆ ก็ยิ่งต้องเสียเงินมากขึ้นเท่านั้น ต่างจากระบบ Live Chat ที่ไม่มีค่าใช้จ่ายในการติดต่อ ทำให้ความรู้สึกเชิงลบไม่รุนแรงมากนัก ทางเจ้าหน้าที่เองก็สามารถให้การบริการได้อย่างราบรื่นด้วยเช่นกัน 5. ให้ความเชื่อมั่นที่ดีกว่าคู่แข่ง...

Continue reading

กลยุทธ์ CRM การตลาดยุค 4.0 ที่คุณคู่ควร

CRM คืออะไร? CRM ย่อมาจาก Customer Relationship Management หรือแปลก็คือ การจัดการความสัมพันธ์ของลูกค้า แล้วมันสำคัญและคู่ควรกับธุรกิจเราในยุค 4.0 ยังไง? CRM คือ การเก็บรวบรวมข้อมูลของลูกค้า และสร้างความสัมพันธ์รวมถึงสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าที่มาใช้บริการ หรือผู้บริโภคสินค้าของเรา แล้วยังเป็นตัวช่วยที่จะทำให้เรารู้จักลูกค้ามากขึ้น เพื่อที่จะได้รับรู้ถึงความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง และให้เราสามารถรักษาฐานลูกค้าเดิม และเปิดรับลูกค้ารายใหม่ๆได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด เพราะถ้าคุณมีการตลาดหรือสินค้าที่ดีแค่ไหน แต่ถ้าคุณไม่รู้จักลูกค้าหรือผู้บริโภคของคุณดีพอ ก็ไม่สามารถเติบโตธุรกิจของคุณต่อไปได้ และยิ่งในยุค 4.0 นี้ที่ทุกคนสามารถเปลี่ยนไปใช้ของคู่แข่งได้ทุกเมื่อ ดังนั้นการรักษาลูกค้าและรู้จักลูกค้าให้มากขึ้นเพื่อสร้าง Loyalty จึงสำคัญมากในตอนนี้ ซึ่งขั้นตอนหลักๆ ในการทำ CRM มีอยู่ 4 ข้อก็คือ ระบุและทำความรู้จักกับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็น ชื่อ ที่อยู่ เบอร์ อีเมล หรือช่องทางการติดต่อต่างๆ โดยหลักแล้วข้อมูลพวกนี้ การทำ CRM ในข้อนี้มักจะได้มาจาก Applications ที่เวลาเราสมัครอะไรก็แล้วแต่ เขามักจะให้เชื่อมกับ Facebook, Email หรือ อะไรต่างๆ เพื่อที่จะได้สามารถดึงข้อมูลของคนๆนั้นมาได้เลยในทันที โดยที่ไม่ต้องให้ลูกค้าหรือคุณเสียเวลากรอกรายละเอียด วิเคราะห์ลูกค้าและแบ่งกลุ่มของลูกค้า เมื่อเราได้ข้อมูลของลูกค้าที่มากมายมาแล้ว เพื่อให้ง่ายต่อการจัดการ เราต้องแบ่งลูกค้าออกเป็นกลุ่ม ตามที่เราต้องการ ไม่ว่าจะเป็น อายุ ความสนใจ หรือไลฟ์สไตล์ต่างๆ อะไรก็แล้วแต่ เพื่อให้เราสามารถเจาะกลุ่มเป้าหมาย ได้ถูกต้องและชัดเจนมากขึ้น การมีส่วนร่วมระหว่างลูกค้ากับเรา เพื่อสร้างความพึงพอใจ ความประทับใจต่อสินค้า และบริการของเรา เป็นการสร้าง Loyalty ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการในตอนนี้ เพราะ ในปัจจุบันสินค้ามีให้เลือกมากมายหลายแบบ ลูกค้าสามารถเปลี่ยนไปใช้ของคู่แข่งได้ทุกเมื่อ ดังนั้น Loyalty จึงสำคัญมาก ซึ่งการที่จะทำให้ลูกค้าประทับใจนั้น เริ่มแรกต้องมาจากการดูแลเอาใจใส่ รวมถึงแก้ Pain Point และ สนองความต้องการของลูกค้าได้ ปรับปรุงและพัฒนากลยุทธ์ และการที่เราจะแก้ Pain Point หรือ สนองความต้องการของลูกค้าได้ เราก็ต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์หรือเลือกสินค้าที่เหมาะสม ให้กับตรงกับกลุ่มลูกค้าในแต่ละประเภท ซึ่งทางเราทำได้ตรงตามที่ตั้งไว้ นอกจากที่ลูกค้าจะ Loyalty...

Continue reading

Google Meet ใน Gmail สำหรับ iOS และ Android

เมื่อช่วงเมษายนที่ผ่านมา Google G Suite ได้มีการนำ Google Meet ไปไว้ใน Gmail เพื่อให้สะดวกต่อการเข้าร่วมประชุมมากขึ้น โดยจะสามารถใช้ผ่านหน้าเว็บเท่านั้น ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป จะสามารถใช้ผ่าน Gmail app บนโทรศัพท์มือถือได้แล้ว ทั้งระบบ iOS และ Android ! โดยที่คุณสามารถ Join meeting ผ่าน Gmail app ได้เลย โดยที่ไม่จำเป็นต้องเปิดใน Google Meet app  พบกับ Google Meet ใน Gmail ได้แล้ววันนี้ Google Meet ใช้ผ่าน Gmail app อย่างไรได้บ้าง คุณสามารถสร้างห้องประชุม (New meeting) เข้าร่วมประชุม (Join a meeting) ทั้งการใส่ code หรือ ตามตารางที่ได้ book ไว้ใน Google Calendar  เมื่อคุณคลิกเข้าร่วมประชุม Meet ด้วยลิ้งค์ บนอุปกรณ์ iOS หรือ Android ลิ้งค์นั้นจะพาคุณไปยัง Gmail app เพื่อเข้าร่วมประชุม หากคุณคลิกลิ้งค์ที่ปรากฎที่หน้า Google Meet คุณก็จะยังคงอยู่ใน Meet app โดยลิ้งค์จะไม่พาคุณไปที่ Gmail app ดังข้อที่กล่าวไป วิธีเริ่มต้นวิดีโอคอล (New meeting) จาก Gmail เปิด Gmail คลิก “เริ่มการประชุม”  การประชุมจะเปิดในหน้าต่างใหม่ สิ่งที่ควรตรวจสอบก่อนเข้าร่วมการประชุม คุณจะเปิดหรือปิดกล้องและไมโครโฟนได้ที่ด้านล่าง คุณจะเห็นรหัสการประชุมและรายละเอียดการประชุมทางด้านขวา คลิกเข้าร่วมเลยเพื่อเข้าร่วมการประชุม หน้าต่างจะปรากฏขึ้นพร้อมรายละเอียดการประชุม เลือกตัวเลือกเพื่อเพิ่มบุคคลอื่น วิธีแชร์รหัสการประชุม: คลิกคัดลอกข้อมูลการเข้าร่วม จากนั้นจึงแชร์รหัสการประชุมและลิงก์กับคนอื่น วิธีเชิญผู้อื่นทางอีเมล: คลิกเพิ่มบุคคล...

Continue reading