ซื้อ Google Workspace ก็สามารถลดหย่อนภาษีกับโครงการ Easy E-Receipt 2567 ได้นะ !

ข่าวดีสำหรับเจ้าของธุรกิจที่กำลังวางแผนซื้อบริการ Google Workspace รีบคว้าโอกาสนี้ไว้ ! เพราะนี่เป็นเวลาเดียวที่คุณจะได้ลดหย่อนภาษีสูงสุดถึง 50,000 บาท ! Demeter ICT ได้เข้าร่วมโครงการ Easy E-Receipt 2567 มาตรการที่จะช่วยให้คุณสามารถรับสิทธิ์ลดหย่อนภาษีสำหรับการซื้อสินค้าและบริการต่าง ๆ ของเรา ไม่ว่าจะเป็น Google Workspace, AppSheet, Duet AI, Zendesk, Braze, Asana, Freshservice, คอร์สอบรมการใช้งาน  Google Workspace & AppSheet และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ (ดูเพิ่มเติม คลิก) เพียงแค่คุณซื้อบริการในนามผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ก็สามารถใช้ใบกำกับภาษีลดหย่อนกับโครงการ Easy E-Receipt สำหรับปี 2567 เพื่อยื่นในช่วงต้นปี 2568 นี้ได้เลย ซึ่งสำหรับผู้ที่สนใจใช้บริการ Google Workspace (ผู้ใช้ใหม่) ก็ยิ่งคุ้ม ! เพราะช้อปกับ Demeter ICT รับสิทธิพิเศษสุดคุ้มถึง 3 ต่อ ! ต่อที่ 1 License ราคาพิเศษ สำหรับผู้ใช้งานใหม่ ลดได้สูงสุดถึง 20 บัญชี เริ่มต้นเพียง 113.50 บาท /ผู้ใช้งาน/เดือน เท่านั้น  คลิกเพื่อดูแพ็กเกจและราคา ต่อที่ 2 รับฟรี AppSheet core ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม ต่อที่ 3 สิทธิ์ลดหย่อนภาษีสูงสุด 50,000 บาท ตามที่จ่ายจริง ใช้ใบกำกับภาษีแบบ E-Tax Invoice/ E-Receipt จาก Demeter ICT เงื่อนไขการรับสิทธิ์โครงการ Easy E-Receipt ต้องซื้อบริการในนามของผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเท่านั้น นอกเหนือจากนี้จะไม่สามารถลดหย่อนภาษีในโครงการนี้ได้ ต้องซื้อบริการและชำระในระหว่างวันที่ 1...

Continue reading

5 เทรนด์แห่งการทำงาน มาแรงปี 2024 ยืนยันแล้วจาก Forbes !

จากอดีตสู่ปัจจุบันโลกของเราก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย แนวความคิดที่ว่าต้องเดินทางไปทำงานตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น หรือการคิดว่างานคือทุกอย่างของชีวิต วันนี้คงถึงเวลาแล้วที่ท่านจะต้องทิ้งสิ่งเหล่านี้ไว้แค่เพียงในอดีตนับจากนี้เป็นต้นไป… ในปี 2024 เทรนด์การทำงานต่าง ๆ จะมีการพัฒนาในรูปแบบใหม่ จะเกิดการปรับเปลี่ยนแนวคิดอย่างมากมาย กระทบไปถึงการใช้ชีวิตและพฤติกรรมการทำงานของคนทั่วไป ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็เป็นผลมาจากการที่เทคโนโลยี AI เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นและจะทวีคูณไปอีกหลายเท่าตัวในอนาคต ซึ่งการมาของ AI นี้เองไม่เพียงแต่กระทบวิถีการทำงาน แต่ยังทำให้เกิด Business Transformation ที่ส่งผลต่อธุรกิจทุกภาคส่วน ไม่เว้นแม้แต่ธุรกิจที่อยู่นอกอุตสาหกรรม High-tech ก็ต้องปรับตัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งเทรนด์ที่ Demeter ICT ได้คัดเลือกมาจาก Forbes และจะมาบอกเล่าให้ทุกท่านในวันนี้ จะมุ่งเน้นไปที่เทรนด์ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและกระทบต่อการทำงานของท่านในแต่ละวัน ซึ่งเจ้าของธุรกิจและเจ้าหน้าที่ระดับบริหารสามารถศึกษาเทรนด์เหล่านี้เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2024 นี้ได้ 5 เทรนด์การทำงาน ปี 2024 1. Generative AI นี่ถือว่าเป็นหัวข้อที่น่าสนใจอย่างมาก เพราะตั้งแต่เทคโนโลยี AI เริ่มเข้ามาผู้คนก็ต่างพูดถึงเรื่องความกังวลที่ AI จะเข้ามาแทนที่มนุษย์ ซึ่งในปี 2024 ความคิดนี้จะต้องถูกเปลี่ยนแปลงสู่แนวคิดที่ว่า “ใครใช้ AI ไม่เป็น คนนั้นจะถูกแทนที่ไปโดยปริยาย” ณ ปัจจุบัน AI นั้นถูกดัดแปลงให้มาเป็นเครื่องมือช่วยซัพพอร์ตการทำงานของมนุษย์ให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะสามารถช่วยงานต่าง ๆ ของมนุษย์ได้เกือบทั้งหมดเลยก็ว่าได้ แต่ทว่ามนุษย์ก็จำเป็นที่จะต้องศึกษาข้อจำกัดและประโยชน์ของการนำ AI มาใช้ให้เหมาะสมกับงานของตนเองด้วย ซึ่ง AI ของแต่ละแพลตฟอร์มนั้นก็จะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น Duet AI ของ Google Workspace ที่มีความสามารถในการช่วยสร้างสรรค์ผลงานใน Gmail, Docs, Slides, Meet, Sheets หากท่านใช้ Google Workspace อยู่แล้ว การใช้งาน AI จาก Google ก็ถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่เหมาะสมอย่างมาก หากต้องการศึกษารายละเอียดของ Duet AI คลิกที่นี่ 2. Employee Experience...

Continue reading

เทียบชัด Google Workspace VS Zimbra ใครจะเป็นที่หนึ่งในวงการ Collaboration Platform! รีวิวจริงจาก Gartner

หากจะพูดถึงการทำงานแบบ Collaboration ก็คงนึกถึงแพลตฟอร์มอื่นไปไม่ได้เลย นอกจาก Google Workspace และ Zimbra เมื่อไม่นานมานี้ทาง Zimbra ได้ประกาศ End of Life Free version หรือที่เราเรียกกันว่า Zimbra Open source ซึ่งข่าวการยกเลิกนี้ทำให้ผู้ใช้จำนวนมากจำเป็นต้องอัปเกรดหรือมองหาแพลตฟอร์มเพื่อการทำงานจากค่ายอื่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ฉะนั้นเพื่อเป็นทางเลือกให้กับคุณที่อาจจะกำลังใช้งาน Zimbra และจะถูกยกเลิกการใช้งานฟรีในวันที่ 31 ธันวาคม ปี 2023 นี้ เราจึงได้จัดทำบทความเปรียบเทียบ Zimbra กับ Google Workspace ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่สนับสนุนเรื่องการทำงานร่วมกันแบบออนไลน์เช่นเดียวกัน เปรียบเทียบในแง่ของแอปพลิเคชันต่าง ๆ และค่าใช้จ่ายเบื้องต้น เพื่อให้คุณได้หาโซลูชันที่เหมาะสมและคุ้มค่าให้กับองค์กรของคุณได้มากที่สุด  อีกทั้ง Demeter ICT ยังได้นำรีวิวจากองค์กรผู้ใช้จริงและ rating บางส่วนจาก Gartner มาเผยแพร่ให้คุณได้เห็นภาพรวมกันของการใช้งานมากยิ่งขึ้นอีกด้วย เปรียบเทียบ Google Workspace และ Zimbra เจ้าของผลิตภัณฑ์ (บริษัทแม่) Google Synacor แอปพลิเคชันที่ได้รับ (อ้างอิงจากแพ็กเกจเริ่มต้น) Gmail Drive Docs Slides Sheets Forms Calendar Meet Site Chat Email Calendar Briefcase (งานเอกสารและการจัดการ Drive) Office (งานตารางและงานนำเสนอ) Chat and Video หมายเหตุ: อ้างอิงหมวดหมู่แอปพลิเคชันตามหน้า Official Website ณ วันที่ 21 ธันวาคม 2023 พื้นที่จัดเก็บข้อมูลบนคลาวด์ / บัญชี 30 GB 3 GB ราคาเริ่มต้น / บัญชี / เดือน...

Continue reading

กรองข้อมูล (Filter) ใน Google Sheets อย่างไรไม่ให้คนอื่นเห็นและไม่กระทบไฟล์ต้นฉบับ

การใช้ฟังก์ชัน Filter ใน Google Sheets กรองข้อมูลเพื่อหาเซลล์หรือข้อมูลที่คุณต้องการนั้นเป็นฟังก์ชันที่เป็นประโยชน์อย่างมาก แต่ในบางครั้งที่คุณและเพื่อนร่วมงานต้องการดูข้อมูลคนละชุดในไฟล์เดียวกัน การที่คุณ Filter ข้อมูลแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งไฟล์อาจไม่ใช่วิธีการที่ดีนัก เพราะอาจทำให้เพื่อนร่วมงานที่กำลังใช้งานไฟล์เดียวกันกับคุณอยู่เกิดความสับสนได้ เนื่องจากข้อมูลที่กำลังถูกใช้งานอยู่นั้นอาจจถูกซ่อนไว้และจะถูกจัดเรียงใหม่ทันที เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหานี้ คุณสามารถใช้ฟังก์ชัน Filter Views แทนการกรองข้อมูลแบบปกติ ซึ่งฟังก์ชัน Filter Views จะช่วยให้คุณสามารถกรองข้อมูลในไฟล์ได้โดยไม่กระทบต่อข้อมูลต้นฉบับนั่นเอง วิธีสร้าง Filter Views ใน Google Sheets เปิดไฟล์ Google Sheets คลิกที่เซลล์หรือคอลัมน์ที่ต้องการกรอง ไปที่แท็บ Data แล้วคลิก Filter Views ตั้งชื่อ Filter ของคุณ คลิก Create วิธีนี้เป็นวิธีที่แนะนำมาก ๆ สำหรับคนที่ชอบทำงานร่วมกันแบบ Online & Real-Time Collaboration เพราะหากคุณใช้ฟังก์ชัน Filter Views ทีมของคุณจะไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด Google Sheets จะโชว์เพียงข้อมูลต้นฉบับ เท่านั้น  ซึ่งหากคุณมีการใช้งานไปแล้วและต้องการกลับมาใช้งาน Filter ที่คุณสร้างไว้อีกครั้ง คุณก็เพียงแค่ต้องกลับไปที่แท็บเมนูเดิม คือ Data >> Filter Views จากนั้นเลือกชื่อ Filter ที่คุณได้ตั้งไว้ในตอนแรกได้เลย  ใช้ Filter Views ดีอย่างไร ? หากมีผู้ใช้อื่นกำลังใช้งานไฟล์นั้นอยู่ ข้อมูลต้นฉบับในไฟล์นั้นจะไม่ถูกเปลี่ยนแปลงใด ๆ  ผู้ใช้อื่นไม่สามารถมองเห็น Filter ที่คุณกำลังใช้งานอยู่ได้ นอกจากว่าผู้นั้นจะกำลังใช้งาน Filter เดียวกันกับคุณ คุณสามารถแบ่งการมองเห็นของข้อมูลได้ เช่น Filter สำหรับฝ่ายขาย หรือ Filter สำหรับฝ่ายบัญชี เนื่องจากทุกฝ่ายมีอำนาจในการเข้าถึงข้อมูลที่แตกต่างกัน ดังนั้นการสร้าง Filter สำหรับแต่ละฝ่ายเพื่อให้ดูชุดข้อมูลที่ต่างกันจึงเป็นประโยชน์อย่างมาก วิธีลบ Filter Views ไปที่ Data ในแท็บเมนูด้านบน...

Continue reading

Gemini ใน Google Workspace คืออะไร ? อยากทำงานด้วย AI ต้องฟังทางนี้ !

ยังคงเป็นกระแสกันอย่างต่อเนื่องกับ Gemini เทรนด์การทำงานใหม่ที่ได้รับความสนใจอย่างล้นหลามจากองค์กรชั้นนำหลายแห่งทั่วโลก ! ในปี 2023 ไตรมาสที่ 3 Google ได้เปิดตัว Gemini ผลิตภัณฑ์เสริมของ Google Workspace ที่ผสานพลังของปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ากับการทำงานร่วมกันแบบดิจิทัล ซึ่งความสามารถของ Gemini ได้สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้คนทั่วโลกเป็นอย่างมาก  หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ Gemini ได้รับความนิยมอย่างมากก็คือ ผลิตภัณฑ์นี้ถูกพัฒนามาจาก Generative AI ของ Google เอง ซึ่งเป็นเทคโนโลยี AI ขั้นสูงที่สามารถสร้างสรรค์ผลงานต่าง ๆ ออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ เช่น ภาพ วิดีโอ เสียงเพลง และข้อความ เป็นต้น ความสามารถของ Generative AI นั้นมีความแม่นยำและสร้างสรรค์เป็นอย่างมาก จึงทำให้มั่นใจได้ว่า Gemini จะสามารถช่วยสร้างสรรค์ผลงานต่าง ๆ ออกมาได้อย่างมืออาชีพและมีคุณภาพมากที่สุด หากตอนนี้คุณก็เป็นหนึ่งในองค์กรที่สนใจทำงานด้วย Gemini มาทำความรู้จัก Gemini ไปพร้อม ๆ กันเลยว่า Duet AI คืออะไร ? สามารถทำอะไรได้บ้างและสามารถทำงานร่วมกับ Google Workspace ได้มากน้อยแค่ไหน ? อ่านบทความนี้ให้จบ รับรองว่าได้คำตอบภายใน 3 นาทีแน่นอน ! เริ่มจับเวลาได้เลย ! Duet AI คืออะไร ? Gemini คือ ผู้ช่วยอัจฉริยะของ Google Workspace ที่สามารถช่วยคิด ช่วยค้น และเนรมิตผลงานออกมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่ง Google เองก็ได้ให้คำนิยามว่า Duet AI เป็น AI-powered collaborator ยกระดับการทำงานจาก Online Collaboration Tool สู่การทำงานร่วมกันแบบไร้รอยต่อด้วย Gemini โซลูชันการทำงานด้วย AI ยุคใหม่ที่องค์กรไม่ควรพลาด...

Continue reading

Checklist 3 สิ่งต้องมี เตรียมบุคลากรให้พร้อมทำงานในยุคแห่ง AI

เมื่อ AI เริ่มขยับเข้ามาใกล้คุณมากขึ้นจนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ดังนั้นหากคุณอยากที่จะก้าวทันและก้าวนำหน้าคู่แข่ง คุณจึงไม่ควรพลาดที่จะปรับเปลี่ยนบริษัทให้สามารถทำงานได้ในยุคแห่ง AI  และเพื่อให้การปรับเปลี่ยนหรือทรานส์ฟอร์มภายในบริษัทประสบความสำเร็จดั่งที่หวัง เราจึงได้คัดสรร Checklist ที่จะช่วยนำทางให้คุณได้เบื้องต้นว่า หากจะเริ่มทำงานด้วย AI ต้องเตรียมหรือเรียนรู้อะไรบ้าง Checklist 3 สิ่งต้องมี เตรียมบุคลากรให้พร้อมทำงานด้วย AI 1. ต้อง Reskilling และ Upskilling เมื่อ AI เป็นสิ่งที่หลายคนยังไม่คุ้นเคย ดังนั้นการจะทำงานด้วยการใช้ AI ก็จำเป็นที่จะต้องมีสกิลบางอย่างเพื่อให้สามารถนำ AI มาประยุกต์ใช้กับงานได้มากขึ้น การ Reskilling หรือ Upskilling จึงเป็นสิ่งที่องค์กรควรให้ความสำคัญแก่พนักงานอย่างมาก เพราะจะช่วยให้พนักงานสามารถทำงานด้วยการใช้เครื่องมือ AI ชนิดต่าง ๆ ได้อย่างคล่องแคล่ว และสามารถนำมาสร้างหรือวิเคราะห์ธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย ตัวอย่างทักษะที่แนะนำ ได้แก่ การเรียนรู้ในส่วนของ Data Analysis, Machine Learning, Automation และ Critical Thinking ซึ่งทักษะเหล่านี้จะทำให้พนักงานเข้าใจการทำงานด้วยเทคโนโลยี AI มากขึ้น และยังสามารถนำสกิลเหล่านี้มาช่วยในการตัดสินใจทางธุรกิจได้อย่างดี แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจำเป็นจะต้องเรียนรู้ทุกสกิลที่เกี่ยวกับ AI นะ CEO หรีอ Manager ของคุณจะเป็นคนช่วยนำทางว่าในหน้าที่ใครเหมาะที่จะเรียนรู้สกิลไหนเพื่อที่จะต่อยอดได้อย่างมีประโยชน์มากที่สุดหรือจะเป็นในส่วนของสกิลที่ยังขาดไปและจำเป็นต้อง Reskill หรือ Upskill ก็ได้เช่นกัน ซึ่งองค์กรเองสามารถให้พนักงานเข้าร่วม Training Program, Workshops, Courses, หรือจะเป็นการเรียนรู้ผ่าน Online platform ก็ได้  สรุปสั้นเลย คือการลงทุนในการ Reskilling And Upskilling มีแต่ได้กับได้ ทักษะเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะพัฒนาทักษะของพนักงานเพียงอย่างเดียว แต่ยังพัฒนาองค์กรของคุณอีกด้วย 2. สนับสนุนการเรียนรู้แบบ Lifelong Learning Culture การเรียนรู้นั้นถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ สำหรับองค์กรที่ต้องการจะศึกษาและปรับตัวเข้าหากับ AI องค์กรควรมีการผลักดันให้พนักงานชอบการเรียนรู้เพื่อพัฒนาสกิลต่าง ๆ ให้มีความถนัดและชำนาญมากขึ้น โดยการให้ผู้นำขององค์กรเป็นแบบอย่างในการลองผิดลองถูก เรียนรู้จากข้อผิดพลาดและความสำเร็จ...

Continue reading

Human-AI Collaboration คืออะไร ?

หากคุณได้ติดตามข่าวเกี่ยวกับเทคโนโลยีมาบ้างในช่วงนี้ ก็คงจะพอทราบว่าศึกแห่ง AI กำลังเริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจังแล้ว หากสังเกตดี ๆ สิ่งต่าง ๆ รอบตัวคุณล้วนแต่ทยอยเปลี่ยนเป็น AI กันหลายอย่าง ทั้งนี้ก็เพราะธุรกิจต่าง ๆ เริ่มมีการนำ AI มาใช้เพื่อให้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคและใช้ AI ในการช่วยสร้างสรรค์ผลงานขององค์กรเพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างรวดเร็วและมีคุณภาพมากที่สุด ดังนั้นเมื่อมีการนำ AI เข้ามาทำงานร่วมกับมนุษย์มากขึ้น จึงเกิดเป็นการทำงานที่เราเรียกกันว่า “Human-AI Collaboration” Human-AI Collaboration คืออะไร ? Human-AI Collaboration คือ การที่คุณทำงานร่วมกับ AI เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่คุณวางแผนไว้ ซึ่ง AI จะทำหน้าที่เหมือน Partner เปรียบเสมือนคู่คิดของคุณที่คอยให้คำปรึกษาและคอยช่วยเหลืองานต่าง ๆ นั่นเอง ตัวอย่างเช่น การให้ AI ช่วยค้นหาข้อมูล ช่วยสร้างรูปภาพ ช่วยวิเคราะห์รายงาน หรือช่วยในการตัดสินใจทางธุรกิจ เป็นต้น ซึ่ง Human-AI collaboration จะแตกต่างจาก AI-centric แบบดั้งเดิม ใน 5 แง่มุมดังนี้ 1. เป้าหมาย Traditional AI-centric: มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาความสามารถของ AI Human-AI collaboration: มุ่งเน้นไปที่การสร้างผลลัพธ์อย่างถูกต้องแม่นยำและมีประสิทธิภาพสูงสุด 2. การมีส่วนร่วมของมนุษย์ Traditional AI-centric: บทบาทของมนุษย์จะถูกจำกัดลงอย่างต่อเนื่อง Human-AI collaboration: ข้อมูลที่มนุษย์ได้ให้กับ AI คือข้อมูลที่สำคัญที่สุดในการนำมาใช้ประมวลผลสำหรับการแก้ไขปัญหาและปรับปรุงกระบวนการต่าง ๆ  3. ความสามารถ Traditional AI-centric: มนุษย์สามารถถูกแทนที่ได้ง่ายด้วยความสามารถของ AI Human-AI collaboration: เพิ่มประสิทธิภาพของการทำงานด้วยการหลอมรวมจุดแข็งของมนุษย์และ AI เข้าด้วยกัน 4. อำนาจในการตัดสินใจ Traditional AI-centric: AI ตัดสินใจแทนมนุษย์ได้เลยทันที Human-AI collaboration: มนุษย์ตัดสินใจได้เองด้วยข้อมูล Insight...

Continue reading

จะเริ่มต้นทรานส์ฟอร์มองค์กร ทำไมต้องใช้ AppSheet ? แอปเดียวเอาอยู่จริงเหรอ ?

เมื่อคุณต้องการที่จะทรานส์ฟอร์มองค์กร หนึ่งในสิ่งที่คุณขาดไปไม่ได้เลยก็คือเครื่องมือที่จะช่วยให้การทรานส์ฟอร์มองค์กรเป็นไปได้อย่างง่ายที่สุด ซึ่งเครื่องมือเทคโนโลยีเพื่อการทำงานที่กำลังมาแรงมากที่สุดในขณะนี้ คือ AppSheet แพลตฟอร์มสร้างแอปพลิเคชันที่ตอบโจทย์การทำงานของคุณได้มากที่สุด “แอปเดียวที่ครอบคลุมได้ทุกการใช้งานตั้งแต่ขั้นต้นไปจนถึงขั้นสูง”  มาดูกันว่าทำไม AppSheet จึงเป็นแพลตฟอร์มที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการทรานส์ฟอร์มองค์กรตั้งแต่ขั้นเริ่มต้น ! 3 เหตุผลหลักที่ AppSheet เหมาะสำหรับการเริ่มต้นทรานส์ฟอร์มองค์กร การเริ่มต้นทรานส์ฟอร์มองค์กรในขั้นแรกจะต้องเริ่มด้วยอะไรที่ง่ายที่สุด ซึ่ง AppSheet ถูกพัฒนามาให้ใช้งานง่ายอยู่แล้ว เพราะคุณสามารถสร้างแอปพลิเคชันได้เองโดยที่ไม่ต้องเขียนโค้ดเลย การให้บุคลากรในองค์กรออกแบบแอปพลิเคชันที่ตอบโจทย์การทำงานของทีมด้วยตัวเอง จะช่วยให้พนักงานเข้าใจการทำงานขององค์กรมากขึ้น ทำให้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่นและยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของงานได้อีกด้วย คุณสามารถเริ่มสร้างจากแอปพลิเคชันเดียวแล้วจึงค่อยทยอยสร้างแอปพลิเคชันสำหรับการทำงานในส่วนอื่นได้ ซึ่งคุณสามารถสร้างได้แบบไม่จำกัดจำนวนแอปโดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมแต่อย่างใด เหมาะมาก ๆ สำหรับองค์กรที่กำลังเริ่มต้นทรานส์ฟอร์มกระบวนการทำงาน (หลักสูตรสร้าง AppSheet คลิกที่นี่) AppSheet แตกต่างจากแอปอื่นอย่างไร ? 1. AppSheet รวมทุกอย่างไว้ในแอปเดียว ปกติแล้วในหนึ่งแอปพลิเคชันคุณจะสามารถใช้ได้สำหรับฝ่ายเดียวเท่านั้น เช่น แอปที่ 1 สำหรับฝ่าย HR, แอปที่ 2 สำหรับฝ่าย Sales และแอปที่ 3 สำหรับฝ่าย IT ซึ่งหากคุณใช้วิธีการซื้อ Outsource แบบนี้ คุณจำเป็นที่จะต้องซื้อแอปเพิ่มในทุก ๆ การใช้งาน แต่สำหรับ AppSheet นั้น อย่างที่ได้กล่าวไปด้านบนแล้วว่า เพียงแค่มี AppSheet ก็สามารถสร้างได้หลายแอปพลิเคชัน ตอบโจทย์ทุกการใช้งานแน่นอน !  2. ใน AppSheet คุณสามารถกำหนดรูปแบบการทำงานของแอปเองได้ สำหรับการใช้งาน AppSheet คุณจะสามารถกำหนดฟังก์ชันการทำงานของแอปพลิเคชันเองได้ เช่น คุณต้องการออกแบบให้แอปทำงานตาม Work Process ของคุณโดยกำหนด Action ต่าง ๆ เอง รูปแบบนี้ก็สามารถทำได้ เรียกว่าไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของการใช้งานเลย ซึ่งจะแตกต่างจากการที่คุณใช้งานแอปจาก Outsource เพราะแอปเหล่านั้นจะมีการดีไซน์ฟังก์ชันไว้อยู่แล้ว ซึ่งคุณก็จะต้องใช้งานตามฟังก์ชันของแอปนั้นเท่านั้น จะไม่สามารถปรับเปลี่ยนให้ตอบโจทย์ต่อการใช้งานของคุณแบบ 100% ได้ 3. คุณสามารถใช้งาน AppSheet ร่วมกับ Google Workspace ได้ เนื่องจาก...

Continue reading

วิธีส่ง Appointment Schedule จองตารางนัดหมายให้ทันใจด้วย Gmail

เมื่อ Demeter ICT ได้พาทุกท่านไปสร้าง Appointment Schedule ใน Google Calendar กันเรียบร้อยแล้ว บทความนี้เรียกได้ว่าเป็นส่วนเพิ่มเติมสำหรับใครที่ต้องการต่อยอด Appointment Schedule ให้สามารถทำงานร่วมกับ Gmail ได้ ซึ่งคุณจะสามารถแนบตารางนัดหมายส่งให้ผู้รับได้เลยทันที ไม่ต้องเข้า-ออกหลายแอปพลิเคชัน รับรองว่านัดหมายได้รวดเร็วทันใจอย่างแน่นอน วิธีการส่ง Appointment Schedule ด้วย Gmail มี 2 วิธี คือ 1. Offer times you are free วิธีนี้คือการที่คุณนำตาราง Appointment Schedule ที่คุณสร้างขึ้นมาวางลงบนอีเมลที่คุณกำลังเขียนอยู่ ซึ่งผู้รับจะสามารถกดเลือกเวลานัดหมายที่ต้องการผ่านอีเมลที่คุณส่งไปได้เลยทันที ตัวอย่าง Appointment Schedule ที่จะปรากฏบน Gmail การส่ง Appointment Schedule ด้วยวิธีการ Offer times you are free ไปที่หน้า Gmail แล้วกด Compose เมื่อมีหน้าต่าง Gmail ปรากฏขึ้นมา ให้ไปที่แท็บเมนูด้านล่างแล้วกด Set up a time to meet เลือก Offer times you are free จากนั้นเลือกวันที่ เวลา และสถานที่ที่คุณต้องการเสนอนัดหมายให้กับผู้รับ เมื่อเรียบร้อยแล้ว กดส่งได้เลย เมื่อผู้รับได้กดเลือกเวลาใดเวลาหนึ่งจากที่คุณเสนอไปแล้ว คุณจะได้รับอีเมล Event Confirmed เพื่อยืนยันการนัดหมาย แล้วการนัดหมายนั้นจะเข้าไปอยู่ใน Google Calendar ของคุณและผู้รับโดยอัตโนมัติเลยทันที 2. Create an event ตัวเลือกนี้จะเป็นการสร้าง Event ใหม่จากหน้า Google Calendar ซึ่งรายละเอียดการสร้าง Event ก็จะเหมือนกับการสร้างประชุมปกติดังรูปภาพด้านล่าง...

Continue reading