วิธีเริ่มต้นใช้งาน Asana ในบทความนี้ ดีมีเตอร์ ไอซีที จะพาทุกท่านมาเรียนรู้วิธีการปรับแต่งประสบการณ์การใช้งาน Asana โดยสามารถกำหนดการตั้งค่าตามการใช้งานของคุณได้เองอย่างอิสระ ไม่ว่าจะเป็นการปรับแต่งโปรไฟล์ การจัดการการแจ้งเตือนในกล่องจดหมาย และการใช้งานฟีเจอร์ ‘My Tasks’ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด กำหนดการตั้งค่า Asana ของคุณ 1. My Settings (การตั้งค่าของฉัน) My Settings คือส่วนที่จะช่วยให้คุณสามารถปรับแต่งข้อมูลของคุณและควบคุมการตั้งค่าของคุณได้ โดยก่อนที่คุณจะเริ่มใช้งาน Asana สิ่งสำคัญคือคุณต้องกรอกข้อมูลโปรไฟล์ให้ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น ชื่อนามสกุล ตำแหน่งงาน รวมถึงส่วน About me (เกี่ยวกับฉัน) เพื่อให้เพื่อนร่วมงานสามารถอ่านและรู้ได้ว่าเป็นคุณ นอกจากนี้คุณยังสามารถระบุเวลาทำงานและวิธีการติดต่อที่ต้องการได้ 2. Notifications (การแจ้งเตือน) การตั้งค่าแจ้งเตือนจะช่วยแจ้งให้คุณทราบเกี่ยวกับกิจกรรม การเปลี่ยนแปลง และการโต้ตอบใด ๆ ก็ตามที่มีความเกี่ยวข้องกับงานที่คุณกำลังติดตามใน Asana เพื่อให้มั่นใจว่าคุณทราบถึงการอัปเดตที่สำคัญและสามารถดำเนินการได้อย่างเหมาะสม ซึ่งคุณสามารถรับการแจ้งเตือนผ่านกล่องจดหมาย Asana อีเมล หรือเบราว์เซอร์ของคุณได้ โดยกล่องจดหมายของคุณใน Asana จะแสดงข้อมูลอัปเดตเกี่ยวกับโครงการที่คุณเป็นสมาชิกและงานที่คุณร่วมงานหรือได้รับมอบหมายให้ทำ เมื่อคุณดำเนินงานของคุณเสร็จสิ้นแล้ว การแจ้งเตือนในกล่องจดหมายของ Asana จะถูกสร้างขึ้นโดยอัตโนมัติ หากคุณเลือกรับการแจ้งเตือนทางอีเมล คุณสามารถรับได้ทั้งหมด 4 ประเภทด้วยกัน คือ สรุปรายวัน อัปเดตกิจกรรม การกล่าวถึงเท่านั้น รายงานรายสัปดาห์ หมายเหตุ: ใช้ได้เฉพาะแพ็กเกจ Asana Business และ Enterprise เท่านั้น และด้วยการแจ้งเตือนผ่านเบราว์เซอร์ คุณสามารถรับการแจ้งเตือนเกี่ยวกับการอัปเดตงานและ @mentions แม้ว่าคุณจะไม่ได้เปิดแท็บ Asana ก็ตาม 3. Inbox (กล่องจดหมาย) กล่องจดหมายขาเข้าของคุณจะทำหน้าที่เป็นฟีดข่าวที่กรองการอัปเดตกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานของคุณ โดยกล่องจดหมายจะแสดงข้อมูลอัปเดตที่เกี่ยวข้องกับโครงการที่คุณมีส่วนร่วม งานที่คุณกำลังร่วมงานอยู่ หรืองานที่ได้รับมอบหมายใหม่ คุณสามารถตอบกลับการอัปเดตเหล่านี้ได้อย่างง่ายดายจากกล่องจดหมายของคุณและไปที่งานของคุณได้อย่างรวดเร็ว โดยการแจ้งเตือนล่าสุดจะอยู่ที่ด้านบน นอกจากนี้คุณยังสามารถกรองการแจ้งเตือนของคุณได้ตลอดเวลาเพื่อเลือกดูสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับคุณก่อน 4. My Task (งานของฉัน) ใน My Task จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางที่รวบรวมรายการสิ่งที่ต้องทำของคุณ...
Continue readingFreshservice คืออะไร? ทำความรู้จักซอฟต์แวร์ยอดฮิตที่ช่วยให้ไอทีทำงานสบายขึ้น
คุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังมองหาเครื่องมือบางอย่างเพื่อปรับปรุงการจัดการบริการด้านไอทีอยู่หรือเปล่า ในปัจจุบันที่มี ITSM ซอฟต์แวร์อยู่เต็มไปหมด มันไม่ง่ายที่จะตัดสินใจเลยใช่ไหมล่ะ? ถึงอย่างนั้นในบรรดาลิสต์ ITSM ซอฟต์แวร์ที่ติดท็อปในการจัดอันดับของหลาย ๆ เว็บก็จะมีชื่อ Freshservice จาก Freshworks พ่วงมาด้วยอยู่เสมอ Freshservice คืออะไร มีฟีเจอร์เด่น ๆ อะไรบ้างและจะตอบโจทย์ใคร ในบทความนี้เรามาหาคำตอบกัน ยาวไปอยากเลือกอ่าน คลิกเลือกหัวข้อที่สนใจได้เลย Freshservice คืออะไร? Freshservice คือ ITSM Software เป็นชุดซอฟต์แวร์บนระบบคลาวด์ที่ออกแบบมาเพื่อยกระดับการบริหารจัดการด้าน IT (ITSM, IT Helpdesk) ช่วยให้ทีม IT สามารถจัดการปัญหาและคำขอบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ให้การบริหารจัดการด้าน IT มีความชัดเจนเป็นไปตามนโยบายและข้อกำหนดขององค์กร ซึ่ง Freshservice นั้นเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ของ Freshworks บริษัท SaaS (Software as a service) ที่มีจุดเริ่มต้นจากประเทศอินเดีย ก่อต้ังขึ้นเมื่อปี 2010 และเติบโตอย่างก้าวกระโดด จนปัจจุบันนี้ Freshworks ได้ย้ายสำนักงานใหญ่มาตั้งอยู่ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย ให้บริการลูกค้ามากกว่า 60,000 ราย และได้รับเสียงตอบรับที่ดีจนอยู่ในลิสต์การจัดอันดับในหมวด ITSM หลายรายการ ฟีเจอร์ที่น่าสนใจของ Freshservice Freshworks ได้ออกแบบผลิตภัณฑ์ภายใต้แนวคิดที่ตรงกับชื่อของแบรนด์ นั่นก็คือ ความสุขสดชื่น (Fresh) โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีทั้งกับลูกค้าและผู้ใช้งาน สำหรับ Freshservice ที่มุ่งเน้นไปในด้านผู้ใช้งานที่เป็นกลุ่มไอทีเองก็ได้มีการออกแบบฟีเจอร์ไว้อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็น ITIL, ซอฟต์แวร์ Service Desk, เครื่องมือการจัดการเหตุการณ์, การจัดการสินทรัพย์, การจัดการโครงการ, การจัดการ SaaS, CMDB แบบรวม, Unified Service Catalog, การจัดการการแจ้งเตือน, Orchestration Center, การจัดการวงจรสินทรัพย์, การจัดการสัญญา, การจัดการผลงานโครงการ และอื่น ๆ อีกมากมาย เรียกได้ว่า Freshservice...
Continue readingITSM คืออะไร? ทำไมองค์กรต้องให้ความสำคัญ
เราต่างรู้กันดีว่าเรื่องของเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology : IT) นั้นมีบทบาทสำคัญต่อธุรกิจเป็นอย่างมาก ซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่บริษัทจะทำธุรกิจได้โดยไม่มีเครื่องมือไอทีต่าง ๆ และเครื่องมือเหล่านั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่แค่ซื้อเข้ามาแล้วปล่อยให้ทำงานเองได้ แต่ต้องมีการบริหารจัดการเพื่อให้เทคโนโลยีเหล่านี้สร้างประสิทธิภาพสูงสุดต่อองค์กร สิ่งนี้เราเรียกว่า “งานบริการไอทีที่มีคุณภาพ” หรือก็คือ การทำให้เครื่องมือไอทีสอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจ โดยผ่านกระบวนการบริหารงานจัดการบริการด้านไอที หรือที่รู้จักกันในชื่อ ITSM (IT Service Management) ITSM คืออะไร? ITSM หรือ IT Service Management คือ การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อสนับสนุนความต้องการและเป้าหมายทางธุรกิจขององค์กร (Business Requirements & Objectives) หรือโดยหลักการแล้วก็คือการใช้ IT เพื่อ Support ทาง Business โดยมุ่งเน้นไปที่การพัฒนา “กระบวนการ” หรือ “Processs-focused” รวมไปถึงการวางกลยุทธ์และการจัดการระบบไอทีทั้งระบบขององค์กรให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยในอดีตการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้มักจะเน้นไปในทางเทคนิค หรือ “Technology” เป็นสำคัญ และใช้เพื่อการบริการภายในองค์กรเท่านั้น แต่ในปัจจุบันมีหลาย ๆ องค์กรที่เริ่มนำ ITSM มาปรับใช้กับงานบริการ เพื่อให้ผู้รับบริการเกิดความพึงพอใจสูงสุด (Customer Satisfaction) โดยเน้นไปที่ “คุณภาพในการให้บริการ” หรือ “Quality of Service” เช่น เรื่อง Service Level Agreement (SLA) เป็นต้น ทำไมองค์กรต้องมีกระบวนการ ITSM? ในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีสารสนเทศได้มีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดและกลายเป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญกับองค์กรในการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันทางธุรกิจ การสนับสนุนด้านเทคโนโลยีสารสนเทศหรือ IT Support ให้กับบุคลากรอย่างมีประสิทธิภาพภายในองค์กรจึงกลายเป็นปัจจัยที่ช่วยให้บุคลากรในองค์กรทำงานได้สะดวกสบายและสร้างความพึงพอใจในการทำงาน ซึ่งกระบวนการ ITSM ได้เข้ามามีบทบาทในการเพิ่มประสิทธิภาพในการสนับสนุนการทำงานเป็นอย่างมาก หากเปรียบเทียบกับกระบวนการจัดการด้านไอทีแบบดั้งเดิม กระบวนการด้าน ITSM จะโฟกัสไปที่ความต้องการในทางธุรกิจขององค์กร หรือว่ากันง่าย ๆ แทนที่ทีมไอทีจะโฟกัสแต่เรื่องของฮาร์ดแวร์หรือระบบ ทีมไอทีก็จะไปโฟกัสที่การเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการของทีมไอทีเองเพื่อให้สอดคล้องและสนับสนุนเป้าหมายขององค์กร เมื่อมองในแง่ประวัติศาสตร์ของ ITSM แล้ว ก็คงต้องย้อนหลังไปในช่วงทศวรรษที่ 1980 ที่มีการริเริ่มการนำกระบวนการ ITSM มาใช้ในงานบริหารจัดการศูนย์ข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือ Data Center ที่ในยุคนั้นเน้นไปที่การบริหารจัดการฮาร์ดแวร์...
Continue readingTransform IT Service Management for Smart Enterprise: ยกระดับการบริหารจัดการด้านไอทีสู่องค์กรสมัยใหม่ด้วย Freshservice
IT ทุกคนเห็นด้วยกับประโยคนี้ไหม? “งานสนับสนุนด้านไอทีเป็นงานที่มักถูกมองข้าม และราวกับว่าการต้องจัดการปัญหาด้านไอทีมากมายกี่วันก็ไม่พอ ถ้าเครื่องมือที่ใช้อยู่ไม่ตอบโจทย์ก็ยิ่งเพิ่มความน่าเจ็บปวดเข้าไปอีก” ถึงอย่างนั้นในยุคปัจจุบันที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี แผนกไอทีก็คือศูนย์รวมของนักพัฒนา นักวางแผน นักสนับสนุน กระทั่งนักแก้ปัญหาภายในองค์กรที่ขาดไม่ได้ การจัดการการบริการด้านไอที (ITSM) ได้กลายเป็นปัจจัยที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและความพึงพอใจของพนักงาน และมีบทบาทโดยตรงกับการยกระดับกระบวนการในองค์กรให้ทันสมัย องค์กรและไอทีจึงสัมพันธ์กันและต้องไปด้วยกันเสมอ ด้วยแนวคิดนี้ Demeter ICT ขอเชิญคุณเข้าร่วมงานสัมมนาออนไลน์สุด Exclusive ในหัวข้อ “Transform IT Service Management for Smart Enterprise: ยกระดับการบริหารจัดการด้านไอทีสู่องค์กรสมัยใหม่ด้วย Freshservice” จัดเต็มทุกอย่างที่ IT Leader ควรรู้ ทั้งกลยุทธ์ โซลูชัน และ Case Studies ไม่ว่าจะเป็น รู้ชัดถึง IT Pain Points, Challenges & Strategies และทำความรู้จัก Freshservice ซอฟต์แวร์ IT Service Management ที่แบรนด์ระดับโลกไว้วางใจ เห็นภาพกับการสาธิตเดโมการใช้งานจริงในด้านต่าง ๆ เช่น การจัดการเหตุขัดข้อง (Incident Management) การรวมทรัพย์สินทางไอทีทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ (Asset Management), การติดตาม วางแผนการดำเนินงานในทีม, การปรับปรุงกระบวนการระหว่างแผนก ตัวอย่างกรณีศึกษาจากแบรนด์ดัง ความคุ้มค่าของการใช้งาน Freshservice ในแง่ของการลงทุน (ROI) และผลลัพธ์ที่ยืนยันแล้วว่าทำได้จริง พนักงานในองค์กรที่นำ Freshservice ไปปรับใช้มีระดับความพึงพอใจโดยเฉลี่ย 96% เรื่องราวที่นำมาสู่ตัวเลขนี้ คุณต้องเริ่มพิสูจน์มันด้วยตัวเอง “Transform IT Service Management for Smart Enterprise: ยกระดับการบริหารจัดการด้านไอทีสู่องค์กรสมัยใหม่ด้วย Freshservice” วันพฤหัสบดีที่ 20 กรกฎาคม 2566เวลา 14.00 – 15.30 น. งานอีเวนต์ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย บรรยายสดผ่านช่องทาง...
Continue readingBest Practice ลดต้นทุนธุรกิจและยกระดับประสบการณ์ลูกค้าด้วยเอไอ (ARTIFICIAL INTELLIGENCE)
ทุกวันนี้หากจะมีเทคโนโลยีที่กำลังมาแรงจนไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คงเป็นเรื่องของเทคโนโลยีเอไอ (AI: Artificial Intelligence) ไม่ว่าจะเป็น ChatGPT เครื่องมือประมวลภาษาที่ช่วยให้เราสนทนากับแชทบอทได้เหมือนแชทคุยกับเพื่อน หรือการใช้เอไอในการสร้างรูปภาพ ที่ผลลัพธ์ออกมาเป็นที่น่าประทับใจมากทีเดียว สิ่งเหล่านี้ตอกย้ำว่าแม้แต่ในเสี้ยวนาทีที่คุณกำลังอ่านบทความนี้ โลกธุรกิจก็กำลังขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากขึ้นอยู่ตลอดเวลา จากรายงาน CX Trends 2023 ของ Zendesk สองในสามของผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าเอไอจะมีบทบาทสำคัญในการช่วยธุรกิจลดต้นทุน ในบทความนี้ เราจึงขอแชร์กลวิธีในการใช้เอไอลดต้นทุนและยกระดับประสบการณ์ลูกค้าให้ทุกคนได้อ่านกัน 1. ลดต้นทุน โดยที่ยังมอบการบริการที่ดีเยี่ยม งบจำกัด พนักงานน้อย มักเท่ากับว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริการลูกค้าต้องรับศึกหนัก และยิ่งถ้าไม่มีเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพใช้ ก็ยิ่งเสี่ยงที่จะเกิดข้อผิดพลาดและนำไปสู่ประสบการณ์ลูกค้าที่ย่ำแย่ ถึงอย่างนั้นปัญหานี้ก็ไม่จบลงแค่การหาบอทสักตัวมาใช้ จากการสำรวจพบว่าผู้บริโภคหลายคนคุ้นชินกับการคุยกับบอท ทว่าความรู้สึกหลังจากนั้นมักค่อนไปทางติดลบเสียส่วนใหญ่ ทั้งนี้ก็เพราะบอทมีการตอบกลับที่ย่ำแย่ ส่งมอบข้อมูลผิด ๆ และสำคัญเลยคือขาดความสามารถในการให้ผู้บริโภคเข้าถึงเจ้าหน้าที่ “เป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับแบรนด์ที่จะมอบการตอบกลับที่ถูกต้องแม่นยำ รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ควรส่งต่อเคสให้กับเจ้าหน้าที่ ChatGPT ทำได้ดีเพราะสามารถสนทนาเหมือนแชทกับเพื่อนก็จริง แต่มันก็ไม่มีข้อมูลที่จะตอบคำถามที่เฉพาะเจาะจงของแบรนด์ นี่เองที่เป็นปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับลูกค้าที่ต้องการข้อมูลที่ถูกต้อง” – Cristina Fonseca, Vice President, Product, Zendesk แล้ว AI จะช่วยลดต้นทุนตรงส่วนนี้ได้อย่างไร? แชทบอทที่ดีจะต้องรับมือกับการติดต่อที่มีความซับซ้อนไม่มากได้ และสามารถเชื่อมต่อลูกค้าไปยังเจ้าหน้าที่ได้เมื่อจำเป็น ตรงจุดนี้เองที่จะช่วยให้เจ้าหน้าที่มีเวลาไปมุ่งเน้นกับการสร้างปฏิสัมพันธ์ของลูกค้าที่จะนำไปสู่การเพิ่มรายได้ หรือการซื้อซ้ำ (Retention) ซึ่งจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีกว่า นอกจากนี้แชทบอทก็ควรที่จะเชื่อมต่อกับระบบหลังบ้าน เช่น ระบบ Knowledge Base, E-Commerce Platform หรือระบบจัดการงานต่าง ๆ และควรจะใช้งานได้ในช่องทางส่งข้อความ อีเมล โซเชียลมีเดีย หรือกระทั่งดำเนินงานที่ซับซ้อนอย่างช่วยให้ลูกค้าสั่งซื้อสินค้า ชำระเงิน คืนสินค้าจากในแชทได้ด้วยตนเอง ซึ่ง Zendesk ในฐานะที่เป็น CX Platform ชั้นนำเองก็มีโซลูชันที่ช่วยให้การทำสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องง่ายดาย ไม่ต้องใช้โค้ด อย่างโซลูชัน Zendesk Sunshine Conversations แพลตฟอร์ม API ที่เป็นเหมือนปลั๊คพ่วงซอฟต์แวร์ เชื่อมต่อช่องทางการติดต่อลูกค้ากับระบบหลังบ้านของคุณ เพื่อสร้างประสบการณ์สนทนาที่ไร้รอยต่ออย่างแท้จริง ตัวอย่างลูกค้าของ Zendesk ที่ใช้บอทลดค่าใช้จ่าย Handy ใช้ Zendesk สร้างระบบ Knowledge Base เพื่อให้ลูกค้าบริการตนเอง...
Continue readingสรุป CX Trends 2023 ที่ธุรกิจไม่ควรพลาด มีอะไรบ้าง มาดูกัน!
เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2566 บริษัท Demeter ICT ร่วมกับ Zendesk ได้จัดงาน CX Trends 2023 ขึ้นที่โรงแรม Bangkok Marriot Marquis Queen’s Park เป็นการเผยแพร่การสำรวจของ Zendesk ที่ทำเป็นประจำทุกปี โดยปีนี้นับเป็นปีแรกที่จัดขึ้นในประเทศไทย โดย Zendesk ได้ทำการสำรวจและเก็บข้อมูลจากกลุ่มลูกค้าและธุรกิจมากกว่า 8,400 ราย พร้อม benchmark ข้อมูลลูกค้ากว่า 100,000 องค์กร เกี่ยวกับความคิดเห็นและเทรนด์ของ Customer Experience (CX) ในปีนี้ https://www.youtube.com/watch?v=tX3yuubl88Y เทรนด์ทั้ง 5 ที่กำลังมาแรงในปีนี้จะประกอบไปด้วยอะไรบ้าง ในบทความนี้เราจะมาสรุปให้ทุกคนได้อ่านกัน เทรนด์ที่ 1 : การนำ AI / BOT มาเพิ่มประสบการณ์ลูกค้า 65% ของผู้นำธุรกิจเชื่อว่าเทคโนโลยี AI ที่ใช้อยู่แสดงผลลัพธ์ที่มีความเป็นธรรมชาติและเหมือนมนุษย์มากขึ้น 77% ของผู้บริโภคกล่าวว่า BOT มีประโยชน์ในการตอบคำถามง่าย ๆ 71% ของผู้บริโภคเชื่อว่า BOT ช่วยให้ได้รับการตอบกลับที่เร็วขึ้น และ 67% ของผู้บริโภคเชื่อว่า BOT มักจะให้ข้อมูลที่ถูกต้อง การนำ AI หรือ BOT มาเพิ่มประสบการณ์ลูกค้า เกิดจากความคาดหวังของลูกค้าที่ต้องการบริการที่รวดเร็ว ถูกต้อง และเข้าถึงได้ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ลูกค้าคุ้นเคยกับการเข้าถึงช่องทางออนไลน์ในช่วง Lockdown ที่ผ่านมา ในส่วนของแบรนด์เองก็สามารถนำ AI มาช่วยในการสร้างการทำงานแบบอัตโนมัติ อย่างการแนะนำลูกค้า การนำ BOT มาช่วยในการตอบคำถามที่พบบ่อย ซึ่งจะช่วยลดภาระงานของพนักงานให้ไปจัดการในเรื่องที่ซับซ้อนกว่าได้ เทรนด์ที่ 2 : เรื่องของประสบการณ์การสนทนากำลังมีอิทธิพลมากขึ้นเรื่อย ๆ ในใจของผู้บริโภค 70% ของผู้บริโภคซื้อสินค้าหรือบริการของแบรนด์ที่สามารถให้ประสบการณ์แบบต่อเนื่อง (Seamless...
Continue readingKnowledge Management คืออะไร? สรุปและตัวอย่าง
รู้หรือไม่? ทุกวันนี้มาตรฐานเรื่องการบริการในใจของลูกค้าสูงขึ้นกว่าแต่ก่อนแล้ว ลูกค้าคาดหวังว่าจะได้รับการตอบกลับที่รวดเร็วจากเจ้าหน้าที่ ทว่าเจ้าหน้าที่หรือพนักงานก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งเช่นกัน ที่มีช่วงเวลาหัวหมุน มึนงง ตามคำถามของลูกค้าไม่ทันจนต้องแอบขอเวลาไปศึกษาเพิ่มบ้างในบางครั้ง ช่วงเวลาแบบนี้นี่เองที่เรื่องของฐานความรู้ (Knowledge Base) และการบริหารจัดการฐานความรู้ (Knowledge Management) ในองค์กรนั้นเป็นอะไรที่แสนสำคัญและจำเป็นอย่างมาก Knowledge Management คืออะไร? Knowledge Management คือกระบวนการหนึ่งในการจัดเก็บ จัดระเบียบ แบ่งปันข้อมูลและความเชี่ยวชาญภายในองค์กร กระบวนการนี้สามารถรวมถึงการสร้างฐานข้อมูล ไลบรารี และเครื่องมืออื่น ๆ เพื่อจัดเก็บและจัดระเบียบข้อมูล เช่น การนำเทคโนโลยีไปใช้เพื่อให้พนักงานฝ่ายบริการลูกค้าสามารถแบ่งปันข้อมูลและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น Knowledge Management จึงมีความสำคัญเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในวงการธุรกิจทุกวันนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งหลายอย่างอย่างรวดเร็วและซับซ้อน จนทำให้องค์กรในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ยากที่จะติดตามข้อมูลล่าสุดและปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดได้ ตัวอย่างของ Knowledge Management ที่พบบ่อย การทำ Knowledge Management ไม่ถือเป็นเรื่องที่แปลกใหม่นัก เราจึงมักได้เห็นหลาย ๆ แบรนด์ได้นำ Knowledge Management มาปรับใช้งาน รูปแบบต่าง ๆ ที่พบบ่อยมีดังนี้ 1. Help Center Help Center หรือศูนย์ช่วยเหลือ (พบบ่อยในชื่อ Knowledge Base, Client Portal) ทำหน้าที่เหมือนกับห้องสมุดขององค์กร เป็นพื้นที่ที่ใช้จัดเก็บ รวบรวมข้อมูล ให้ลูกค้าค้นหาข้อมูลที่ต้องการและหาคำตอบด้วยตนเองได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเจ้าหน้าที่ ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ก็สามารถใช้ข้อมูลที่มีใน Help Center มาเป็นข้อมูลอ้างอิงขณะตอบคำถามลูกค้าได้เช่นกัน Help Center จึงถือเป็นแก่นสำคัญในการสร้างระบบสำหรับให้ลูกค้าบริการตนเอง (Self-service) เจ้าหน้าที่ยังสามารถเข้าไปอัปเดตข้อมูลให้เป็นล่าสุดอยู่เสมอ มั่นใจได้ว่าข้อมูลจะถูกต้อง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทั้งการทำงานและความพึงพอใจของลูกค้า ตัวอย่างที่น่าสนใจจาก Discord ที่ใช้ Zendesk ในการสร้างระบบ Help Center ผลคือสามารถลดปริมาณการตอบคำถามของเจ้าหน้าที่และมีจำนวนผู้ใช้งานในระบบ Help center เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่านับตั้งแต่ปรับปรุง และจำนวนยอดการเข้าชมที่เข้าไปหาข้อมูลบนหน้าเพจ Help center เพิ่มขึ้นกว่า 70% 2....
Continue readingชนะสามหมวดรวด! Zendesk ได้ที่ 1 ใน Best Software Awards จาก G2
g2.com เป็นเว็บไซต์ Software Marketplace ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยจำนวนผู้เข้าชมไม่ต่ำกว่า 80 ล้านคนต่อปี เรียกได้ว่าไม่ว่าจะเป็นพนักงานจากบริษัทชั้นนำในลิสต์ Fortune 500 หรือผู้ที่กำลังมองหาซอฟต์แวร์ส่วนใหญ่มักจะใช้เว็บไซต์ G2 นี้ในการดูรีวิวประกอบการตัดสินใจ ในปีนี้ G2 ก็ได้ประกาศผลการจัดอันดับซอฟต์แวร์ของปี 2023 ผลการจัดอันดับนี้วัดจากรีวิวของผู้ใช้งานจริง ซึ่งการจะผ่านเข้าเกณฑ์ตัดสินได้นั้น บริษัทหรือซอฟต์แวร์จะต้องได้รับรีวิวที่ผ่านการประเมินแล้วไม่ต่ำกว่า 50 รีวิว และรีวิวที่เป็นสาธารณะอื่น ๆ ของปี 2022 อีกทั้งคะแนนจะถูกนำไปคิดเฉพาะในระยะเวลาการประเมินเท่านั้น ซึ่ง Zendesk ก็ขึ้นแท่นได้อันดับ 1 ถึง 3 หมวดด้วยกัน ได้แก่ #1 Best Software Product #1 Best Customer Service Product #1 Product for Mid-Market (บริษัทที่มีพนักงาน 51 – 1,000 คน) “สิ่งที่ทำให้ Zendesk แตกต่างก็คือพวกเราให้ความสำคัญในเรื่องการใช้งานอยู่ตลอดเวลา” Pat Copeland, Chief Engineering Officer at Zendesk กล่าว “Zendesk นั้นง่ายที่จะศึกษา ใช้ง่ายตั้งค่าระบบแล้วก็ปรับขยายต่อได้ง่ายอีกด้วย แล้วเราก็ยังมีระบบ Build-in Intelligence ที่ช่วยให้การส่งมอบการบริการลูกค้ามีแต่จะดียิ่งขึ้นเรื่อย ๆ การจัดอันดับที่อิงจากรีวิวของผู้ใช้งานนี้ดีเพราะช่วยให้เราได้รู้ว่าเรากำลังบรรลุสิ่งที่เราตั้งใจไว้” นอกจากการจัดอันดับด้านผลิตภัณฑ์แล้ว G2 ก็ได้จัดอันดับ Top 100 Software Company ของโลก โดยอิงคะแนนจากความพึงพอใจของผู้ใช้และตำแหน่งแบรนด์ในด้านการตลาด (Market Presence) ซึ่ง Zendesk ก็ได้อันดับ 4 ไปครอง ตัวอย่างรีวิวล่าสุดเกี่ยวกับ Zendesk “เราพอใจมากที่เชื่อมต่ออีเมลกับ Chat Dashboard ให้พนักงานของเราได้ (Agent Workspace) และไหนจะความสามารถที่เป็นประโยชน์อย่างการจัดการรีพอร์ต...
Continue readingกลุ่มธุรกิจการเงิน DAOL กับการสร้างศูนย์กลางในการบริการลูกค้าด้วย Zendesk
รับชมบทสัมภาษณ์แบบเต็ม ๆ เกี่ยวกับ DAOL กลุ่มธุรกิจการเงินดาโอหรือบริษัท ดาโอ ประเทศไทย จำกัด มหาชน เดิมมีชื่อที่เราคุ้นหูคุ้นตากันว่า บริษัท เคทีบีเอสที (KTBST) โฮลดิ้ง จำกัด มหาชน เป็นกลุ่มธุรกิจที่ให้บริการทางด้านการเงินและการลงทุนแบบครบวงจร โดยผ่านบริษัทในเครือทั้งหมด 6 บริษัท หากนับด้านประสบการณ์ในแวดวงธุรกิจทางการเงิน DAOL เองก็เรียกได้ว่าเป็นบริษัทจากเกาหลีใต้ที่อยู่คู่กับคนไทยมาช้านานตั้งแต่ปี 2540 ภายใต้วิสัยทัศน์ “DAOL, Your Lifetime Financial Partner เพื่อนคู่คิดทางการเงินของคุณ” และพันธกิจที่มุ่งเน้นในเรื่องของคน การบริการทางการเงินที่หลากหลาย ระบบงานที่น่าเชื่อถือและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อให้ทั้งพนักงานและลูกค้าได้รับการบริการที่ดีที่สุด ดังนั้นเมื่อโลกยุคดิจิทัลก้าวหน้าขึ้นทุกวัน ทำให้ DAOL มีความต้องการที่จะพัฒนาในเรื่องของการทำงานให้เป็นระบบออนไลน์มากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เปรียบเสมือนตัวเร่ง ก็ถึงเวลาที่จะต้องทำ Digital Transformation ให้เป็นจริง เหตุผลที่ DAOL เลือกใช้ Zendesk เดิมที DAOL วางโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ของบริษัทสำหรับรองรับการปฏิบัติงานที่บ้าน โดยที่ลูกค้าได้รับการบริการที่มีคุณภาพตามที่ ก.ล.ต. (สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์) กำหนดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ทว่าด้วยความที่ในอดีตไม่ได้เป็นบริษัทที่ใหญ่มาก การทำงานจึงเป็นลักษณะของ Manual Process หรือทำด้วยตนเองทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น การส่งงานด้วยระบบอีเมลธรรมดา การบันทึกข้อมูลที่บันทึกลงฝ่ายใครฝ่ายมัน ไม่มีจุดศูนย์กลางในการให้บริการลูกค้า DAOL จึงได้มองหาระบบ CRM (ระบบการจัดการลูกค้าสัมพันธ์) ที่จะช่วยรวมข้อมูลลูกค้าและสามารถเก็บบันทึกกิจกรรมที่ลูกค้าติดต่อเข้ามา แล้วส่งงานต่อให้ฝ่ายงานอื่น ๆ ได้ ที่สำคัญเลยคือพนักงานจะต้องใช้งานได้ง่าย ไม่กระทบกับการทำงานมากนัก “สำคัญเลยคือเรื่องของการใช้งานของผู้ใช้ว่าจะต้องง่าย ไม่กระทบกับการทำงานของเขามาก เพราะฉะนั้นเราก็เลยเลือก Zendesk ที่สามารถเพิ่มตัวของการรายงาน Report และกำหนดค่าระบบต่าง ๆ ได้ด้วยตัวผู้ใช้เอง” – วิทวัส เก๋งมอญ, Assistant Vice President – กลุ่มธุรกิจการเงินดาโอ ตัวอย่างการใช้งาน Zendesk...
Continue reading 
								 
			 
			 
			 
			 
			 
			 
			 
			 
			