คุณเคยเดินเข้าไปในร้านอาหารตามสั่งแล้วคุณป้าถามว่า “อีกสิบบาทมั้ย ใส่ไข่ดาวเพิ่ม” รึเปล่า? เชื่อหรือไม่ แค่หลักการง่าย ๆ นี้ก็นับเป็นกลยุทธ์การขายแล้ว และในความเป็นจริงกลยุทธ์พวกนี้อยู่รอบตัวเรามากกว่าที่คุณคิด ในบทความนี้ เราจะมารู้จักกับกลยุทธ์การขายที่ชื่อ Upselling และ Cross-selling อันเป็นกลยุทธ์พื้นฐานที่นักขายห้ามพลาดกัน Upselling คืออะไร? Upselling หรือ “การเพิ่มยอดขาย” ความหมายของมันคือการสนับสนุนให้ลูกค้าตัดสินใจใช้จ่ายมากกว่าที่ตั้งใจไว้ในตอนแรก ในขณะเดียวกันในแง่ของลูกค้าเองก็จะรู้สึกพึงพอใจมากขึ้นเมื่อได้ซื้อสินค้าที่มองว่าคุ้มค่ากว่าเดิม หรืออาจมีฟีเจอร์ของแถมเสริมเพิ่มเข้าไปด้วยเช่นเดียวกัน มีการวิจัยหนึ่งพบว่าบางครั้งเรื่องของ “ค่าใช้จ่าย” ก็ไม่ใช่ปัจจัยที่สำคัญที่สุดเสมอไป แต่เป็น “อารมณ์ความรู้สึก” ที่ใช้ในการตัดสินใจซื้อ และหากเมื่อรวมกับพฤติกรรมการซื้อของผู้คนสมัยนี้ที่มักเริ่มต้นจากหาข้อมูลก่อน แล้วค่อยนำมาเปรียบเทียบหาสินค้าหรือบริการที่จะตอบโจทย์ความต้องการได้มากที่สุด ท่ามกลางสินค้าจำนวนมากที่มีฟีเจอร์คล้ายคลึงกัน ถ้ามีสินค้าหนึ่งที่โดดเด่นขึ้นมาแม้จะมีราคาสูงกว่า ความคิดที่ว่า “แค่เพิ่มเงินอีกจำนวนหนึ่ง” ก็จะนำไปสู่การตัดสินใจซื้อได้แม้จะเป็นตัวเลขที่มากกว่าที่ตั้งใจไว้ในตอนแรกก็ตาม การใช้เทคนิค Upselling ไม่ควรใช้แบบบังคับ รบเร้าเกินไปจนเสียความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้า แต่ควรเป็นในแง่ของการนำเสนอคุณค่าหรือสิ่งที่ลูกค้าจะได้รับถ้าจ่ายมากกว่าเดิมให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น แล้ว Cross-selling คืออะไร? Cross-selling คือการขายสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวเนื่องกับสินค้าหลัก ยกตัวอย่างเวลาที่เราไปธนาคารเพื่อเปิดบัตรเดบิต พนักงานก็อาจจะเสนอขายสินเชื่อหรือประกันเสริมให้กับเรา กลยุทธ์ Cross-selling ถือเป็นอีกแนวทางที่จะช่วยเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจ และเป็นโอกาสให้เรานำเสนอสินค้าหรือบริการที่มีแนวโน้มว่าลูกค้าจะให้ความสนใจเพิ่มเติมเข้าไป พนักงานขายที่ร้านไอทีอาจจะใช้ Cross-selling ครั้งแรกไปกับการนำเสนออุปกรณ์อื่น ๆ ที่ข้องเกี่ยวกันอย่างแล็ปท็อปกับเมาส์ ในส่วนของพนักงานซัพพอร์ตก็สามารถใช้หลัก Cross-selling หากว่าลูกค้าต้องการใช้ฟีเจอร์หนึ่งที่ซอฟต์แวร์ที่ตนเองใช้อยู่ไม่มี แต่ฟีเจอร์นั้นอยู่ในซอฟต์แวร์อีกตัวของแบรนด์ซอฟต์แวร์เดียวกัน สามารถสรุปได้ว่า Upselling คือการจูงใจให้ลูกค้ายอมจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อสินค้าที่อัพเกรดกว่าเดิม ขณะที่ Cross-selling คือการโน้มน้าวให้ลูกค้าซื้อสินค้าหรือบริการหนึ่งที่อาจเกี่ยวข้องกันได้นั่นเอง แล้วต้องทำอย่างไรถึงจะ Upselling กับ Cross-selling ให้ดีได้? แม้ทั้งสองกลยุทธ์นี้จะมีประโยชน์และสามารถเพิ่มยอดขายได้จริงในแง่ของธุรกิจ ทว่าหากมองในแง่ของลูกค้าขึ้นชื่อว่าต้องเสียเงิน อะไรที่รบเร้ามากเกินไปก็อาจพลอยให้เสียอารมณ์ขึ้นมาแทนได้เหมือนกัน ดังนั้นการวางแผนการตลาดและการขายให้ดี รู้จักใช้ Customer Journey หรือ Sale Pipeline เพื่อให้ใช้กลยุทธ์การขายเหล่านี้ได้ถูกจังหวะ (Touchpoint) จึงถือเป็นอะไรที่สำคัญอย่างมาก ในปัจจุบันมีเครื่องมือช่วยบริหารการขายอยู่มากมาย ทว่าหากพูดถึงเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพการขายที่ใช้ง่าย ตอบโจทย์ทั้งทีมขายและลูกค้าล่ะก็เราขอแนะนำ Zendesk Sell เครื่องมือนี้จะช่วยคุณเก็บบันทึกทุกข้อมูลของลูกค้า เห็นภาพรวมการขายมากขึ้น ช่วยให้คุณวิเคราะห์พฤติกรรมความต้องการของลูกค้าและใช้ทุกโอกาสที่มีอยู่ได้อย่างเต็มที่ อ่านข้อมูลเพิ่มเติมของ Zendesk Sell ได้ที่นี่เลย สุดท้ายนี้ไม่ว่าจะเป็น Upselling...
Continue readingอยากมี Self-Service ไว้ใช้งาน ต้องเริ่มอย่างไรดี?
หากว่าคุณมีข้อสงสัยที่อยากหาคำตอบให้ได้ คุณจะทำอะไรก่อนระหว่างติดต่อใครสักคนเพื่อสอบถาม หรือคลิกเข้า Google เพื่อลองหาคำตอบด้วยตนเอง? คำตอบของคำถามนี้ล้วนขึ้นอยู่กับความถนัด ความพึงพอใจของแต่ละคนที่ก็แตกต่างกันไป แต่ว่าทราบหรือไม่ว่าระยะหลังมานี้จากการสำรวจพบว่าผู้บริโภคอย่างเรา ๆ มีแนวโน้มจะหาคำตอบด้วยตนเองก่อนเพิ่มขึ้นอย่างมาก และเพราะแบบนั้น การบริการตนเองหรือ Self-Service ก็ได้กลายเป็นอีกหนึ่งมาตรฐานที่การบริการลูกค้าที่ดีควรจะมี ทว่าแล้ว Self-Service นี้มีกี่รูปแบบกันแน่ และเราจะนำไปปรับใช้กับช่องทางขององค์กรอย่างไรได้บ้างยังเป็นเรื่องที่หลายคนยังคงสับสนกันอยู่ ดังนั้นในบทความนี้ เราจะมาหาคำตอบของเรื่องนี้กัน 6 ช่องทางหลักของ Self-Service การบริการลูกค้าในปัจจุบันที่ Omnichannel ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญ ทำให้หลายองค์กรติดตั้งระบบ Self-Service ไว้ให้ลูกค้าใช้บริการตัวเองในหลายช่องทางมากขึ้นตามไปด้วย รวมเป็น 6 ช่องทางหลักได้ดังนี้ 1. หน้า FAQ (FAQ Page) FAQ ย่อมาจาก Frequently asked questions หรือคำถามที่พบบ่อย ในหน้า FAQ มักจะรวบรวมคำถามและคำตอบที่พบบ่อยไว้สำหรับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็น “มีนโยบายการคืนสินค้าอย่างไร?” แล้วตามด้วยคำอธิบายไม่ยาวมาก ข้อสำคัญสำหรับหน้า FAQ คือควรเรียบง่ายและกระชับ ได้ใจความเข้าไว้ FAQ ที่ดีจึงควรจะใส่ลิงก์เชื่อมโยงไปหน้าอื่นที่ข้อมูลแน่นกว่าในกรณีที่ลูกค้าอยากหาคำตอบที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น หรืออาจจะใส่เบอร์โทรสำหรับติดต่อเจ้าหน้าที่ หรือติดตั้งระบบไลฟ์แชทในหน้าเว็บเพื่อให้ลูกค้าสอบถามเจ้าหน้าที่เพิ่มเติมได้ตามต้องการ 2. ฐานความรู้หรือบทความในศูนย์ช่วยเหลือ (Knowledge base or Help center content) ระบบฐานความรู้เอไอ ช่วยตอบคำถามเชิงรุกให้กับลูกค้าโดยที่ลูกค้าไม่ต้องตามหาข้อมูลนาน โดยปกติในหน้าศูนย์ช่วยเหลือมักจะมีเครื่องมือค้นหาให้ลูกค้าคล้ายกับ Google ที่สามารถใช้ได้ทั้งในคอมพิวเตอร์และในโทรศัพท์มือถือ ยกตัวอย่าง FullStory knowledge base ที่ใช้ Zendesk เข้าช่วย ถือเป็นอีกตัวอย่างที่ดีสำหรับศูนย์ช่วยเหลือแบบอัจฉริยะ จะเห็นได้ว่าในช่องค้นหาจะขึ้นแนะนำบทความขึ้นมา และในหน้านี้ยังมีการแบ่งบทความตามหมวดหมู่ ประเภทของบทความหรือแม้แต่ลักษณะของผู้ใช้งาน ลูกค้าเพียงพิมพ์คำถามหรือปัญหาของตนเองลงไปก็จะขึ้นแสดงแนะนำบทความที่เหมาะสมให้ในทันที ฟีเจอร์นี้เองช่วยให้ทั้งลูกค้า วิศวกรหรือฝ่ายนักพัฒนาของ FullStory หาคำตอบที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว 3. บอร์ดสนทนา (Community forum) บอร์ดสนทนาเป็นพื้นที่ให้ผู้ใช้แลกเปลี่ยนคำถามคำตอบระหว่างกัน องค์กรสามารถรวมบอร์ดสนทนาไว้เป็นส่วนหนึ่งของฐานความรู้หรือเป็นพื้นที่แยกในหน้าเว็บไซต์ โดยปกติแล้วบอร์ดสนทนาจะมีแอดมินคอยเป็นผู้ดูแลอีกที มีเหตุผลหลายข้อที่ทำไมองค์กรถึงควรมีบอร์ดสนทนาไว้ แต่ที่ชัดเจนที่สุดก็เพราะบ่อยครั้งที่คนที่เข้าใจปัญหาของลูกค้ามากที่สุดก็คือลูกค้าด้วยกันเอง เพราะเป็นคนที่ได้ใช้สินค้าหรือบริการนั้น ๆ จริง ทำให้มองเห็นปัญหาที่บางครั้งนักพัฒนาเองก็มองข้าม...
Continue readingTop 5 Call Center Software ที่ดีที่สุดในโลกปี 2021 (จาก Users ตัวจริง)
หากจะพูดถึงการหาซอฟต์แวร์ Call Center Solution ดี ๆ สักตัว ไม่ว่าจะอัปเกรดจากอันเดิมที่ใช้อยู่หรือหาอันใหม่เพื่อให้ตอบโจทย์การใช้งานมากขึ้น สิ่งหลัก ๆ ที่ต้องพิจารณาที่หลายคนจะนึกถึงเป็นอันดับแรกก็คงไม่พ้นต้องติดตั้งง่าย เทคโนโลยีทันสมัย ปรับใช้แล้วก็เชื่อมกับ CRM ตัวอื่นที่ใช้งานอยู่ได้ ฟังดูเป็นมาตรฐานที่ Call Center Software ที่ดีควรจะมี ถึงอย่างนั้นด้วยความต้องการที่ต่างกันไปตามแต่ละองค์กร การจะหาซอฟต์แวร์ที่ถูกใจได้ก็ถือว่ายากเอาการอยู่เหมือนกัน ในบทความนี้ เราจึงได้ทำการรวบรวม Call Center Software ที่มีผลคะแนนและรีวิวจากผู้ใช้งานดีเยี่ยมมาให้ทุกคนได้ดูกัน สำหรับปี 2021 นี้จะมีซอฟต์แวร์ตัวไหนน่าสนใจกันบ้าง มาดูกันเลย 1. Zendesk Zendesk มาพร้อมกับระบบเสียงที่ทรงพลัง ตอบโจทย์ความพึงพอใจของทีม Call Center ยุคใหม่ ร่วมกับ Options ที่มีให้เลือกปรับแต่งได้มากมายไม่ว่าจะผ่านส่วนขยายหรือแอป เหตุผลที่ User ชื่นชอบ Zendesk มอบประสบการณ์สนทนาที่หลากหลาย ติดตั้งแล้วใช้งานได้เลย มีระบบ Ticketing ที่แปลกใหม่ยอดเยี่ยม สามารถเชื่อมกับ CRM ตัวอื่นหรือแอปตัวอื่นได้เพื่อต่อขยายการใช้งานให้ยืดหยุ่นหลากหลายยิ่งขึ้น ทำให้การทำงานร่วมกันเป็นเรื่องง่าย หัวหน้าสามารถเห็นภาพรวมทั้งหมดรวมถึงเข้ามาช่วยเหลือได้ ดังนั้นหากว่าคุณกำลังมองหาซอฟต์แวร์แบบ Out of the box ใช้งานได้ทันทีและนำไปปรับใช้ให้เข้ากับระบบการทำงานขององค์กร ไม่ว่าจะเป็นโจทย์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวหรือสลับซับซ้อนมากแค่ไหน Zendesk ก็ช่วยคุณได้ “เราต้องการระบบซัพพอร์ตที่ติดตั้งแล้วใช้งานได้ทันที ก็เลยย้ายจาก Salesforce มา Zendesk.. แล้วมันก็ใช้งานได้เลยจริง ๆ อย่างถ้าคุณเป็นผู้ใช้งานล่ะก็ คุณแค่ต้องพิจารณาดูฐานข้อมูลแล้วก็หาระบบที่จะเข้ากับธุรกิจมาปรับแต่งเพิ่มไปได้เลย” – Capterra review Zendesk ยังได้รับความนิยมล้นหลามในด้านของระบบ Ticket และ Automation ไม่ว่าจะเป็นฟังก์ชัน macros (กลุ่มคำสั่ง), triggers (เงื่อนไขคำสั่ง), ticket routing (ทางใบสั่ง) และ automated replies (ตอบกลับอัตโนมัติ) “ถ้ามองหาระบบ Ticket ล่ะก็ Zendesk...
Continue readingCustomer Service from Home แผนปรับ ‘บริการออนไลน์’ ท้าวิกฤตโควิด-19 ครั้งที่ 2
ในวันที่โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อมวลมนุษยชาติในทุกมิติ การใช้มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมหรือแม้แต่การขอความร่วมมือให้ทุกหน่วยงาน Work From Home อยู่บ้าน หยุดเชื้อ ช่วยชาติ ได้ก่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนชีวิตความเป็นอยู่ของทุกคน ถึงจุดนี้ที่เราต่างต้องยอมรับแล้วว่าวิกฤตครั้งนี้ได้เร่งกระแสต่าง ๆ ที่มีอยู่แล้วให้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วขึ้นในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน และการดำเนินธุรกิจรวมถึง ‘การบริการลูกค้า’ จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป คำถามคือ คุณพร้อมหรือยัง และพร้อมมากแค่ไหนที่จะตั้งรับความเปลี่ยนแปลงนี้ เมื่อการยึดติดกับแนวคิดหรือรูปแบบการบริการแบบเดิม ๆ ไม่สามารถช่วยให้ธุรกิจแข่งขันต่อไปได้ ก็ถึงเวลาสมควรแล้วที่จะต้องปรับเปลี่ยนมัน ถึงเวลาที่จะรวมทุกช่องทางติดต่อ เมื่อการมุ่งเน้นไปที่ช่องทางใดช่องทางหนึ่งไม่เพียงพออีกแล้วต่อการทำธุรกิจยุคนี้ ถึงเวลาที่ทุกข้อมูลจะต้องถูกจัดเก็บอย่างเป็นระบบ ไม่ให้ตกหล่นและมี Back Up อัตโนมัติ ถึงเวลาที่จะหยุดมุ่งเน้นที่สรรพคุณสินค้าเพียงอย่างเดียว เพราะอีกปัจจัยที่ขาดไม่ได้ก็คือการให้ความสำคัญกับลูกค้า ถึงเวลาที่การบริการและการซัพพอร์ตลูกค้าในทุกช่องทางจะต้องไม่แยกออกจากกัน ดังนั้นถึงเวลาแล้ว.. ที่จะปรับทุกการบริการให้เป็นแบบ ‘ออนไลน์’ ทำทุกอย่างให้เป็นระบบและบริการลูกค้าได้ทุกที่อย่างมืออาชีพ มาร่วมปรับทั้งหมดนี้ด้วยกันกับเรา กับงานสัมมนาออนไลน์ ‘Customer Service from Home แผนปรับบริการออนไลน์ท้าวิกฤตโควิด-19 ครั้งที่ 2’ โดยในงานสัมมนานี้เราจะพาให้คุณได้อัปเดตเทรนด์การบริการยุคใหม่ แนวโน้มเทคโนโลยีที่น่าสนใจที่กำลังมาแรงในตอนนี้ วิเคราะห์ความสำคัญของ Omnichannel พร้อมนำเสนอแนวทางปรับบริการออนไลน์ ให้ธุรกิจเชื่อมถึงกันอยู่เสมอผ่านเครื่องมือบริการลูกค้าระดับโลกอย่าง Zendesk รับมือกับทุกความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นและดำเนินต่อไปได้อย่างยั่งยืน ลงทะเบียน สิ่งที่คุณจะได้รับจากการเข้าร่วม เข้าใจผลกระทบของโควิด-19 ที่มีต่อการบริการลูกค้า เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างไรบ้าง อัปเดตเทรนด์การบริการ แนวโน้มเทคโนโลยีที่น่าสนใจ Self-service, Chat Bot, Messaging สำคัญอย่างไร คุ้มค่าแค่ไหนที่จะลงทุน เผยแนวทางการบริการให้ตอบโจทย์ลูกค้ายุคใหม่ วิเคราะห์ Omnichannel กับการยกระดับการบริการ จำเป็นแค่ไหนสำหรับการทำธุรกิจยุคนี้ คำแนะนำในการเลือกเครื่องมือและตัวช่วยที่เหมาะสม Agenda 19:30 – 19:40 Opening & Welcoming Speech 19:40 – 20:00 How has COVID-19 Accelerated Trends in Customer Service? เข้าใจผลกระทบของโควิด-19 ที่มีต่อการบริการลูกค้า เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างไรบ้าง อัปเดตเทรนด์การบริการ แนวโน้มเทคโนโลยีที่น่าสนใจ Self-service, Chat...
Continue readingเปิดเคล็ดลับ Work From Home อย่างไร? Stay Connected ดี Work-Life Balance เยี่ยม
ทราบหรือไม่? หลังจากวิกฤตโรคระบาดที่ผ่านมาถึงสองปีนี้ จากการสำรวจพบว่ามี 83% ขององค์กรที่คิดว่าตนประสบความสำเร็จในการทำงานแบบรีโมทหรือทำงานทางไกล 99% ของพนักงานอยากที่จะ Work From Home อย่างน้อยตามโอกาสบางครั้งหรือตลอดชีวิต และ 68% ขององค์กรที่คิดว่าการทำงานทางไกลยิ่งผ่านไปก็ยิ่งเป็นเรื่องง่ายขึ้น ถึงขั้นที่ว่ามี 26.7% ที่เชื่อว่าแม้ในปีหน้าทีมก็จะยังทำงานทางไกลแบบเต็มเวลาอยู่ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการ Work From Home ได้เข้ามาเป็นอีกหนึ่งความปกติในช่วงเวลานี้ไปแล้ว กระทั่งในอนาคตข้างหน้าเองมันก็จะยังไม่หายไปไหน หากแต่ในขณะเดียวกันการทำงานทางไกลก็ใช่จะไม่มีอุปสรรคอะไรเลย ในบทความนี้ เราจะมาดูข้อดี-ข้อเสียของ Work From Home รวมถึงข้อแนะนำจาก Zendesk ในการแก้อุปสรรคที่ว่านี้กัน ข้อดีของ Work From Home 1. ให้ความยืดหยุ่น จากการสำรวจของ Buffer พบว่า ในบรรดาผลประโยชน์ทั้งหมดของ Work From Home หัวข้อที่พนักงานลงความเห็นว่าเป็นข้อดีสูงที่สุดก็คือความยืดหยุ่น ไม่ว่าจะเป็นด้านการจัดสรรเวลาหรือการทำกิจกรรมต่าง ๆ การทำงานทางไกล (Remote Working) หรือการทำงานจากที่บ้าน (Work From Home) ช่วยให้พนักงานมีเวลาทำสิ่งอื่น ๆ ในชีวิตประจำวันมากขึ้น ไม่ต้องเสียเวลาแต่งหน้าทำผม ออกไปฝ่าการจราจรที่ติดขัดยามเช้าและยังสามารถจัดสรรสภาพแวดล้อมตอนทำงานได้ตามใจ อาจจะเปิดเพลงขณะทำงานคลอตามไปด้วยหรือตอบอีเมลทั้งที่มีแมวนอนบนตักก็สามารถทำได้ ในส่วนขององค์กรเองก็ได้ประโยชน์จากความยืดหยุ่นจากการทำงานทางไกลเช่นกัน เมื่อมีความยืดหยุ่นด้านการจัดสรรเวลามากขึ้น พนักงานก็มีแนวโน้มจะมีสมาธิในการทำงานในช่วงเวลาที่ตนถนัดมากที่สุด จากการวิจัยของ Prodoscore ยังพบว่าพนักงานจะทำงานได้มีประสิทธิภาพมากที่สุดในวันอังคาร พุธ พฤหัส ตามลำดับ 2. เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ Prodoscore ยังสรุปผลการวิจัยได้อีกว่าพนักงานที่ทำงานทางไกล มีประสิทธิภาพในการทำงานสูงกว่าที่ทำตอนอยู่ในออฟฟิศเสียอีก ข้อสรุปนี้สอดคล้องกับผลการสำรวจของ Airtasker ที่ว่าพนักงานสามารถประหยัดเวลาได้เฉลี่ยถึง 8.5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์จากการเดินทางไปบริษัท และพนักงานที่ทำงานทางไกลจะทำงานมากกว่าพนักงานที่ประจำอยู่ออฟฟิศเฉลี่ย 1.4 วันต่อเดือน หรือกล่าวได้ว่าพนักงานที่ทำงานทางไกล มีแนวโน้มจะประหยัดเวลาที่ใช้เดินทางมาใช้ในการทำงานให้ได้นานมากยิ่งขึ้น การทำงานทางไกลยังช่วยลดข้อขัดแย้งของพนักงานในบริษัทและช่วยให้พนักงานฟุ้งซ่านน้อยลงได้อีกด้วย ซึ่งจากการศึกษาของ UC Irvine พบว่าพนักงานมักใช้เวลาเฉลี่ย 23 นาที 15 วินาที หลังถูกทำให้เสียสมาธิ ในการกลับมาโฟกัสที่งานอีกครั้ง ไม่เพียงเท่านั้น จากรายงานของ...
Continue readingLive Chat VS Phone Support แบบไหนที่ใช่ ในการบริการลูกค้า?
ทุกวันนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าลูกค้ามีทางเลือกในการติดต่อเจ้าหน้าที่มากขึ้น การเพิ่มช่องทางติดต่อหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นทางแอปโซเชียลมีเดีย โทรศัพท์ อีเมล ไลฟ์แชท ต่างให้ความสะดวกในรูปแบบที่ต่างกันแก่ลูกค้า จากบรรดาทุกช่องทางนั้น ไลฟ์แชทกับโทรศัพท์ถือเป็นทางเลือกที่ติดต่อเจ้าหน้าที่ได้รวดเร็วมากที่สุด ทว่า ทั้งไลฟ์แชทกับโทรศัพท์ก็มีรูปแบบการบริการที่ต่างกันอยู่มาก หากไม่ระวังให้ดี แทนที่จะได้ประโยชน์ก็อาจกลายเป็นติดลบได้ ความแตกต่างที่ว่านั้นคืออะไร อะไรคือข้อดีข้อเสียของสองระบบนี้ แล้วแบบไหนที่ควรเลือก ในบทความนี้ เราจะมาหาคำตอบกัน Live Chat คืออะไร? Live Chat เป็นช่องทางให้ลูกค้าติดต่อกับเจ้าหน้าที่ได้ทันทีไม่ว่าจะทางเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน หน้าต่างไลฟ์แชทสามารถตั้งค่าให้เด้งขึ้นมาเผื่อลูกค้ามีข้อสงสัยอยากจะสอบถาม หรือเป็นทางเลือกให้ลูกค้าติดต่อไปด้วยตนเองได้ตามต้องการ จากรายงาน Customer Experience Trends 2021 ของ Zendesk พบว่าในภาวะวิกฤตโรคระบาดที่ผ่านมา Tickets ในช่องทาง Live Chat เพิ่มสูงขึ้นเกือบจะถึง 50% กล่าวได้ว่า 25% ของลูกค้าได้หันมาใช้ช่องทาง Live Chat มากขึ้น เหตุผลสำคัญคือ Live Chat ร่วมกับ AI Chatbot ทำให้ลูกค้าสามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ 24 ชั่วโมงตลอดเวลา Chatbot อย่าง Zendesk Answer Bot สามารถตอบกลับลูกค้าได้อัตโนมัติแม้นอกเวลาทำการ แก้ปัญหาสามัญต่าง ๆ หรือแม้แต่เปิดเป็น Ticket เพื่อให้เจ้าหน้าที่มารับช่วงต่อได้ ข้อดี-ข้อเสียของ Live Chat ข้อดี มอบการตอบกลับเชิงรุก ทำงานครอบคลุมตลอด 24 ชั่วโมง มีประสิทธิภาพ เจ้าหน้าที่สามารถให้ความช่วยเหลือลูกค้าหลายคนในเวลาเดียวกัน ปรับขยายฟังก์ชันเพิ่มเติมตามธุรกิจได้ วิเคราะห์ข้อมูลจากแชทของลูกค้าได้ง่าย ข้อเสีย อาจให้ความรู้สึกไม่เป็นส่วนตัวนัก แก้ปัญหาที่สลับซับซ้อนยาก ลูกค้าอาจเลือกจะกดปิดทิ้งถ้าเจ้าหน้าที่ตอบกลับช้า หรือถ้ารู้สึกว่ากำลังคุยกับแชทบอท แล้ว Phone Support คืออะไร? แต่ไหนแต่ไรการซัพพอร์ตลูกค้าทางโทรศัพท์ถือเป็นของตายที่ต้องมีทุกบริษัท แม้ปัจจุบันจะมีช่องทางติดต่อที่หลากหลายมากขึ้นให้ลูกค้าเลือกใช้ไม่ว่าจะเป็นการแชทหรือการส่งข้อความ สำหรับลูกค้าระบบบริการทางโทรศัพท์ก็ยังคงเป็นตัวเลือกยอดฮิตและคาดหวังว่าจะได้รับการตอบกลับได้เร็วที่สุดอยู่ดี 62% ของลูกค้าเห็นตรงกันว่าช่องทางแก้ปัญหาที่ชอบที่สุดก็คือทางโทรศัพท์ ทว่าแม้จะเป็นทางเลือกยอดฮิต หากเทียบกับแนวโน้มหลายปีที่ผ่านมาการซัพพอร์ตทางโทรศัพท์ก็ไม่ได้รับความนิยมเท่าเมื่อก่อนนัก ข้อดี-ข้อเสียของ Phone Support ข้อดี ให้การบริการที่เป็นส่วนตัวแก่ลูกค้า...
Continue readingCustomer Experience Trends 2021 ปรับให้ทัน ก่อนตกยุค
ไม่เพียงแต่โควิด19 จะเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิต ไลฟ์สไตล์ หรือการมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกันของเราเท่านั้น ภาวะทางเศรษฐกิจหรือแม้แต่การเข้าสังคมที่มีความเปลี่ยนแปลงอย่างมากทำให้ผู้บริโภคตระหนักถึงคุณค่าของตัวเองมากขึ้น ความคาดหวังที่มีต่อฝ่ายบริการก็เพิ่มพูนมากขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน Zendesk บริษัท Customer Service Software ที่โด่งดังเรื่องการสร้าง Customer Experience จึงได้ทำการสำรวจลูกค้า เจ้าหน้าที่ หัวหน้าฝ่ายบริการลูกค้าและผู้จัดซื้อเทคโนโลยีกว่า 90,000 องค์กร จากทั้งหมด 175 ประเทศทั่วโลก นำมาสรุปเป็นเทรนด์ประสบการณ์ลูกค้าสำหรับปี 2021 ผลสำรวจได้ความว่าอะไรบ้าง มาดูกัน TREND 1 : Spotlight on CX วิกฤตไวรัสที่แพร่ระบาดไปทั่วโลกกลายเป็นตัวเร่งให้ลูกค้าหันมาใช้ช่องทางออนไลน์มากขึ้น จากรายงานของ Mckinsey พบว่ายอดขายอีคอมเมิร์ซเติบโตขึ้นถึง 30% ลูกค้าคาดหวังการบริการที่ดีกว่ามาตรฐานเดิมที่เคยเป็นมา 80% ของลูกค้าเห็นด้วยว่าจะเปลี่ยนไปใช้บริษัทคู่แข่งทันทีที่ได้รับประสบการณ์ย่ำแย่แม้เพียงครั้งเดียว 65% ต้องการซื้อสินค้าจากบริษัทที่เสนอธุรกรรมออนไลน์ที่สะดวกรวดเร็ว 75% ยินดีจ่ายเงินเพิ่มขึ้นถ้าบริษัทเสนอ CX ที่ดี TREND 2 : A more conversational world เทียบกับช่องทางติดต่อสื่อสารระหว่างบริษัทกับลูกค้าไม่ว่าจะเป็นการโทรหรืออีเมลแล้ว Messaging เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมาก ถึงขั้นที่ว่าประมาณการณ์ผู้ใช้งานต่อเดือนทั้งหมดทั่วโลกได้ถึง 2.77 พันล้านคนเลยทีเดียว ลูกค้าหลายคนเลือกติดต่อกับบริษัทผ่าน Messaging ในเว็บไซต์หรือในแอป แต่แอปส่งข้อความในโซเชียลมีเดียก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเช่นกัน คำร้องของลูกค้าที่เข้ามาทางแอปอย่าง WhatsApp หรือใน Facebook Messenger ทะยานสูงในช่วงวิกฤตไวรัสระบาดนี้ 64% ของลูกค้าเริ่มมองหาและใช้ช่องทางบริการใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการได้มากขึ้น 45% เลือกใช้งานระบบ Messaging บนหน้าเว็บไซต์ เช่น Live Chat 31% เลือกส่งข้อความผ่านแอปโซเชียลมีเดีย TREND 3 : Emphasis on agility เมื่อต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นต่อเนื่องด้านเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริการเองก็ต้องหาหนทางปรับให้รับกับความต้องการใหม่ ๆ ของลูกค้า ระบบซัพพอร์ตที่ยืดหยุ่น บริการที่รวดเร็วฉับไวถือเป็นอีกกุญแจสำคัญที่ขาดไม่ได้ 85% ของเจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลว่าโควิด19 ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสำคัญด้านการบริการลูกค้า กว่า 60% ของเจ้าหน้าที่มองว่าการบริการที่รวดเร็วเป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญมากที่สุด...
Continue readingSaaS (Software as a Service) คืออะไร? ทำไมใคร ๆ ก็ใช้ SaaS?
เชื่อว่าหลายคนที่ติดตามข่าวสารเทรนด์ธุรกิจหรือแม้แต่คนทั่วไปในชีวิตประจำวันเองคงจะได้ยินคำว่า ‘SaaS’ หรือ ‘Software as a Service’ มาบ้างไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 ที่เร่งให้หลายองค์กรต้องปรับตัวเพื่อรองรับการทำงานทางไกลมากขึ้น SaaS ถือเป็นอีกหนึ่งตลาดที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและมีปริมาณความต้องการสูงขึ้นมาก โลกยุคดิจิทัล หันไปทางไหนใคร ๆ ก็ใช้ SaaS ทว่า SaaS แท้จริงแล้วคืออะไรกันแน่ สำคัญมากแค่ไหนยังคงเป็นเรื่องที่หลายคนตั้งคำถาม ดังนั้นในบทความนี้ เราจะมาคลายข้อสงสัยนี้กัน SaaS คืออะไร? SaaS หรือ Software as a Service แปลตรงตัวได้ว่า การให้บริการในด้านซอฟต์แวร์ ในที่นี้คือการให้บริการระบบซอฟต์แวร์รูปแบบหนึ่งที่ให้บริการผ่านอินเทอร์เน็ต หรือที่รู้จักกันในอีกนามว่าเป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้ระบบ Cloud นั่นเอง ตัวอย่างของ SaaS ที่คุ้นเคยกันดีก็อย่างเช่นอีเมล ที่เราสามารถเชื่อมต่อเน็ตแล้วคลิกเข้าไปรับส่งอีเมลได้เลยโดยไม่ต้องโหลดโปรแกรม หากขยับการใช้งานให้หลากหลายมากขึ้นก็จะพบ Dropbox, Google Workspace, Zendesk ที่ล้วนเป็น SaaS ที่ได้รับความนิยมเช่นเดียวกัน ข้อได้เปรียบของ SaaS ที่แตกต่างจากการใช้งานเดิม ๆ ก็คือผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องลงทุนในการซื้อ Hardware เช่น Server หรือ Harddisk เพื่อใช้ในการประมวลผล จัดเก็บข้อมูลเลยแม้แต่น้อย ไม่ต้องคอย Backup อัปเกรดระบบหรือพัฒนาระบบเอง เพราะทุกข้อมูลจะถูกจัดเก็บไว้โดยผู้ให้บริการผ่านระบบ Cloud ลักษณะของการซื้อซอฟต์แวร์ SaaS จึงอยู่ในรูปแบบของการซื้อ License คล้ายกับการเช่าใช้ โดยคิดค่าบริการตามลักษณะการใช้งานจริง เช่น จำนวนผู้ใช้งาน ระยะเวลาการใช้ ซึ่งถือว่าช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านการติดตั้งและดูแลระบบไปได้มหาศาล เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น เราจะมาแตกแยกกันไปทีละข้อกันว่า SaaS มีข้อดีข้อเสียอะไรบ้าง คุ้มค่าแค่ไหนที่จะลงทุน ข้อดีของ SaaS ใช้ต้นทุนต่ำ เพราะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายไปกับการติดตั้งบำรุงรักษา อัปเดตระบบ หรือการจัดเก็บข้อมูล สามารถใช้งานได้ทุกที่ ทุกเวลาเพียงแค่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต SaaS ไม่จำกัดประเภทของคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะใช้ Window หรือ Mac ก็สามารถใช้งานได้ หรือใช้งานผ่านอุปกรณ์อื่น ๆ เช่น...
Continue readingZendesk Sell เครื่องมือขาย เพื่อฝ่ายขาย ที่ตอบโจทย์ ‘มากกว่า’ การขาย
หากว่าคุณเป็นพนักงานขายที่กำลังหัวหมุนอยู่กับการจดข้อมูลลูกค้าล่ะก็ ‘เราเข้าใจคุณ’ หากว่าคุณเป็นหัวหน้าฝ่ายขายที่ไม่รู้จะอัปเดต Sales Pipeline ของพนักงานคนอื่นอย่างไร ‘เราก็เข้าใจคุณเหมือนกัน’ และหากว่าคุณกำลังอ่านบรรทัดนี้ด้วยความต้องการที่จะตามหาเครื่องมืออะไรสักอย่างให้เรื่องยุ่งยากทั้งหมดมันง่ายขึ้นล่ะก็ ‘คุณมาถูกทางแล้ว’ จากแบบสำรวจ 80% ขององค์กรทั้งหมด เห็นตรงกันว่า Zendesk Sell ทำให้ฝ่ายขายทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และนี่ก็คือเหตุผลใน 4 มุมมองว่าทำไมองค์กรของคุณถึงต้องใช้ Zendesk Sell ?Zendesk Sell รวมทุกอย่างที่พนักงานขายต้องการ ขึ้นชื่อว่าพนักงานขายก็หัวหมุนพออยู่แล้ว ไหนลูกค้าจะโทรเข้ามา ไหนจะจดบันทึก ไหนจะส่งอีเมล กว่าจะปิดดีลได้ก็ไม่รู้ว่าเผลอละเลยใครไปบ้างหรือเปล่า หมดยุคที่พนักงานขายจะต้องจดบันทึกลงสมุดโน๊ตที่แสนจะเสี่ยงต่อการทำข้อมูลสูญหายทั้งยังเหนื่อยอย่างไม่จำเป็น ระบบของ Zendesk Sell ให้พนักงานขายสามารถทำงานร่วมกันในหน้าแพลตฟอร์มเดียวแบบเรียลไทม์ ช่วยซัพพอร์ตพนักงานขายอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างหน้าข้อมูลลูกค้าที่จัดระเบียบได้ทั้งหมดว่าลูกค้าคนนี้เป็นใคร มาจากไหน ต้องการอะไร นอกจากเรื่องจัดเก็บข้อมูลแล้ว Zendesk Sell ก็ช่วยลดงานที่ไม่จำเป็นได้มหาศาล พนักงานขายไม่ต้องเสียเวลาสลับหน้าจอไปมาระหว่าง CRM กับ Inbox เลยแม้แต่น้อย เพียงกดซิงค์อีเมลก็รับส่งอีเมลจาก Zendesk Sell ได้เลย พร้อม Tracking จำนวนครั้งที่ลูกค้าเปิดหรือคลิกอีเมลเสร็จสรรพ ในเรื่องของการนัดหมายก็ทำได้ง่ายแสนง่าย ติดตั้งแอปพลิเคชัน Zendesk Sell ลงโทรศัพท์มือถือเพื่อเข้า Google Map ไปหาลูกค้าได้ทันใจ หรือหากต้องการโทรสายหาก็เพียงกดคลิกเดียวจบก็ทำได้แล้ว ไร้กังวลว่าต้องมาคอยรายงานหัวหน้าหรือจดบันทึกไม่ทัน เพราะ Zendesk Sell ช่วยลดการซ้ำซ้อนในการบันทึกข้อมูล ทุกอย่างจะถูกบันทึกไว้แม้ในโทรศัพท์โดยอัตโนมัติ ‘86% ของพนักงานยขาย ใช้เวลากับงานซ้ำซ้อนน้อยลงเพราะ Zendesk Sell’ ?Zendesk Sell ทำให้หัวหน้าเห็นภาพรวมทุกอย่าง เพราะเป็นหัวหน้า พนักงานขายดีลกับลูกค้าถึงไหน วัน ๆ หนึ่งคุยกับใครบ้าง ไปที่ไหน หรือแม้แต่จะประมาณการณ์ยอดขายอย่างไรย่อมเป็นข้อมูลที่จำเป็นต้องรู้ ถึงอย่างนั้นการจะอัปเดตสถานะการขายกลับเป็นเรื่องยาก Sales Stage ของพนักงานแต่ละคนกลับไม่มีมาตรฐานตรงกันเสียเลย จะออกรีพอร์ตก็ยากไปหมด Zendesk Sell ทำให้ทุกคนในฝ่ายร่วมกันกำหนด Sales Pipeline เป็นมาตรฐานเดียวกัน พร้อมระบุตัวเลขระดับขั้นของ Sales Stage ให้ดูได้ง่าย...
Continue reading