Braze AI

ปลดล็อกความคิดสร้างสรรค์! สร้างการตลาดที่ตรงใจลูกค้าด้วย Sage AI จาก Braze

เมื่อปลายปี 2023 ที่ผ่านมา Braze แพลตฟอร์ม Martech ที่มุ่งเน้นในการสร้างการมีส่วนร่วมระหว่างแบรนด์กับลูกค้าได้เปิดตัว Sage AI by Braze™ ที่มาช่วยเสริมพลังให้กับแบรนด์ต่าง ๆ ในการยกระดับการมีส่วนร่วมของลูกค้า ฟีเจอร์ของ Sage AI by Braze™ หรือที่ตอนนี้เปลี่ยนชื่อเป็น BrazeAI™ ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของนักการตลาดให้สามารถออกแบบแคมเปญการตลาดที่ตรงใจลูกค้าได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่หลากหลายและครอบคลุมแบบเรียลไทม์ ช่วยเร่งการตัดสินใจที่ชาญฉลาดในทุกการเดินทางของลูกค้า เช่น แนะนำสินค้าและบริการให้ตรงกับลูกค้าแต่ละคน การคาดการณ์และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกที่มีความซับซ้อนระดับองค์กร การสร้างแรงบันดาลใจด้านความคิดสร้างสรรค์และการกระตุ้นให้ลูกค้ามีโอกาสและมูลค่าการซื้อที่สูงขึ้น ซึ่งนำไปสู่ผลลัพธ์ทางธุรกิจที่ดียิ่งขึ้น ซึ่งเราจะมาเจาะลึกแต่ละฟีเจอร์ให้ทุกท่านเห็นภาพกันมากขึ้นเริ่มกันที่ 1. แนะนำสินค้าและบริการที่ใช่สำหรับลูกค้าทุกคน (Recommend the right items for every customer) การเสนอสินค้าหรือบริการที่ไม่เกี่ยวข้องกับลูกค้า เป็นหนึ่งในวิธีที่ทำให้ลูกค้าสูญเสียความไว้วางใจและออกห่างจากแบรนด์ของเราไป ยิ่งเราอยู่ในยุคที่แบรนด์กำลังแข่งขันกันเพื่อสร้างความไว้วางใจและความภักดีให้กับลูกค้า แต่การที่แบรนด์จะสามารถแนะนำสินค้าและบริการให้กับลูกค้าทุกคน เป็นความท้าทายที่ต้องใช้ข้อมูลเชิงลึกจำนวนมาก ที่มีความซับซ้อนและใช้เวลานาน Braze จึงได้พัฒนาฟีเจอร์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ในการสร้างคำแนะนำสินค้าและบริการที่ส่งไปยังทุกช่องทางได้แบบเฉพาะตัว เพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าแบบข้ามช่องทางได้ (Cross-channel Marketing) และยังใช้ในกรณีอื่น ๆ อย่างเช่น แนะนำสินค้าที่ได้รับความนิยมหรือสินค้าที่คุณสนใจล่าสุด โดยนักการตลาดสามารถ: นำเสนอสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวข้องกับลูกค้าแต่ละรายได้ตรงใจมากยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและมูลค่าที่สูงขึ้น โปรแกรมถูกออกแบบมาให้ใช้งานง่ายและพร้อมใช้งานได้ทันที เพียงสร้างร่วมกับ Workflows ของคุณ เพื่อหลีกเลี่ยงการทำงานที่ยุ่งยากและซับซ้อน กระตุ้นผลลัพธ์ให้ดีขึ้นด้วยการแนะนำสินค้าหรือบริการที่ตรงใจลูกค้า ส่งผลให้เกิด Conversion สูงสุด แนะนำสินค้าที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า บวกกับช่วงเวลาที่ใช่ เพื่อเพิ่มโอกาสให้กับการออกสินค้าใหม่ เพื่อต่อยอดและเพิ่มยอดขายจากลูกค้าเดิมอย่างต่อเนื่อง เพิ่มยอดขายจากลูกค้าใหม่และลดอัตราการสูญเสียลูกค้าให้น้อยลง 2. ปรับแต่งให้เฉพาะตัวในทุกก้าวของการเดินทาง (Personalize every step of every journey) เพื่อให้แบรนด์สามารถสร้างประสบการณ์ที่ตรงใจกับลูกค้าได้ ลูกค้าจะต้องรู้สึกว่าได้รับความเอาใจใส่และแบรนด์รู้ว่าพวกเขาต้องการอะไร ซึ่งการใช้เพียงข้อมูลพื้นฐาน เช่น ชื่อ อายุ เพศหรือที่อยู่นั้น ไม่เพียงพอที่จะทำให้คุณโดดเด่นกว่าคู่แข่งได้อีกต่อไป ซึ่งฟีเจอร์ Braze Personalization Paths จะช่วยวิเคราะห์ถึงพฤติกรรมเชิงลึกและการเดินทางของลูกค้าแต่ละคน เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาปรับแต่งแคมเปญการตลาดให้เหมาะกับแต่ละคนอย่างแท้จริง ทั้งข้อความ รูปภาพ โปรโมชัน เวลาในการส่งหรือช่องทางที่ส่งไปหาลูกค้า...

Continue reading
Asana Free and Asana Premium

ใช้งาน Asana แบบ Free VS Asana แบบ Premium ต่างกันอย่างไร?

Asana เป็นเครื่องมือ Project Management อันดับ 1 ที่ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับธุรกิจทุกขนาดและความต้องการที่หลากหลาย ซึ่งความแตกต่างระหว่าง Asana แบบ Free กับ แบบ Premium (คือ เสียเงินค่า License ขึ้นอยู่กับแพ็กเกจ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ ที่นี่) จะสัมพันธ์กับฟีเจอร์ในการทำงาน ความสามารถในการจัดการทีมและการจัดการโปรเจกต์ของคุณ หากคุณกำลังไม่แน่ใจว่า ระหว่างการใช้งาน Asana แบบ Free กับแบบ Premium แบบไหนจะเหมาะกับทีมหรือองค์กรของคุณมากกว่ากัน บทความนี้เราจะมาเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างการใช้งานทั้งสองแบบกันอย่างชัด ๆ เพื่อให้ผู้ที่สนใจใช้งาน Asana ตัดสินใจกันได้ง่ายมากยิ่งขึ้น เลือกอ่านหัวข้อที่คุณต้องการได้เลย! 1. User Limits (จำนวนผู้ใช้งาน) Asana Free เหมาะสำหรับบุคคลทั่วไป ฟรีแลนซ์และธุรกิจขนาดเล็ก (SMB) มีสมาชิกภายในทีมไม่เกิน 10 คน ที่ต้องการใช้งาน Asana เพื่อที่จะจัดการงานส่วนตัวหรือเริ่มต้นจัดการโปรเจกต์ภายในทีม Asana Premium เหมาะสำหรับทีมและองค์กรขนาดกลางไปจนถึงขนาดใหญ่ พร้อมแพ็กเกจที่หลากหลาย เพื่อให้คุณสามารถเลือกแพ็กเกจที่เหมาะสมและตรงกับองค์กรของคุณมากที่สุด 2. Features (ฟีเจอร์การใช้งาน) Asana Free การจัดการงาน (Task Management) สามารถสร้าง Task งาน มอบหมายงานให้กับสมาชิกภายในทีมและกำหนดวันเสร็จสิ้นของงานหรือโปรเจกต์ของคุณได้ มุมมองโปรเจกต์ (Project Views) สามารถเห็นภาพรวมของโปรเจกต์ ตารางปฏิทินและลิสต์งานต่าง ๆ ได้ เครื่องมือการทำงานร่วมกัน (Collaboration Tools) สามารถแสดงความคิดเห็น ตอบกลับเกี่ยวกับงานและสามารถแนบไฟล์ได้ (จำกัดขนาดไว้ที่ 100MB ต่อไฟล์) รายงานแดชบอร์ด (Reporting Dashboard) มองเห็นรายงานแดชบอร์ดพื้นฐานและภาพรวมความคืบหน้าของโปรเจกต์ การเชื่อมต่อเบื้องต้น (Integration) สามารถเชื่อมต่อกับระบบอื่น ๆ ของบริษัทได้อย่างเช่น Slack, Google Workspace และ Microsoft Teams แต่เนื่องจากข้อจำกัดของฟีเจอร์แบบฟรี...

Continue reading
Collect Customer Data Strategies for Marketing

รู้จัก 4 วิธี เก็บข้อมูลลูกค้าแบบมืออาชีพ ขับเคลื่อนการตลาดให้ปัง!

ทุกวันนี้ ‘ข้อมูล’ เรียกได้ว่าเป็นขุมสมบัติอันล้ำค่าสำหรับการทำธุรกิจ เพราะธุรกิจในทุกวันนี้แทบจะต้องขับเคลื่อนด้วยข้อมูลทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นออนไลน์หรือออฟไลน์ ถ้าหากธุรกิจของคุณไม่มีข้อมูลหรือมีข้อมูลที่ไม่เพียงพอ นั่นอาจทำให้ธุรกิจของคุณสูญเสียเงินไปอย่างเปล่าประโยชน์หรือเกิดข้อผิดพลาดจนทำให้ธุรกิจหยุดชะงักจนไปถึงการปิดตัวลงไปเลยก็ได้ ซึ่งการเก็บข้อมูลในปัจจุบันก็มีหลากหลายแบบหลากหลายวิธี และแต่ละวิธีก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย รวมถึงการนำข้อมูลไปใช้ที่แตกต่างกันออกไป โดยในบทความนี้เราจะขอพาทุกท่านไปทำความรู้จักการเก็บข้อมูลว่ามีกี่วิธี? อะไรบ้าง? พร้อมยกตัวอย่างการเก็บข้อมูลแต่ละวิธีให้ทุกท่านเห็นภาพกันแบบชัด ๆ จะมีอะไรบ้าง ไปดูกัน! วิธีของการเก็บข้อมูลในปัจจุบันมี 4 ประเภทดังนี้ ภาพจาก Bloomreach Zero-Party Data (ข้อมูลศูนย์กลาง) เป็นการเก็บข้อมูลโดยตรงจากลูกค้าที่เต็มใจมอบให้กับแบรนด์ผ่านการทำแบบสำรวจ แบบสอบถามที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการ การตอบคำถามจากการเล่นเกมที่ธุรกิจหรือแบรนด์จัดขึ้นเพื่อให้ได้ข้อมูลลูกค้ามา การตั้งค่าความยินยอมก่อนที่จะสมัครเป็นสมาชิกบนเว็บไซต์ แอปพลิเคชันหรือโปรแกรมสะสมคะแนนต่าง ๆ ตัวอย่าง Zero-Party Data ลูกค้าบอกไซส์และสไตล์เสื้อผ้าที่ต้องการตอนสมัครสมาชิกเพื่อสะสมคะแนนของร้านขายเสื้อผ้า ตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องโปรดในช่องทางสตรีมมิ่ง การเลือกประเภทอาหาร “มังสวิรัติ” ในแอปพลิเคชันส่งอาหาร ข้อดีของ Zero-Party Data เป็นข้อมูลเชิงลึกที่มีความแม่นยำ เนื่องจากลูกค้าเป็นผู้ให้ข้อมูลโดยตรง จึงสะท้อนถึงความชอบและความสนใจที่แท้จริงของลูกค้าได้ ความปลอดภัยในการใช้งานสูง เพราะลูกค้ายินยอมและให้สิทธิ์ในการรวบรวมข้อมูลกับแบรนด์อย่างชัดเจน ข้อมูลเชิงลึกที่ได้มาจะช่วยให้คุณสามารถสร้างความไว้วางใจและความภักดีกับลูกค้าได้ง่ายและดียิ่งขึ้น ข้อมูลเชิงลึกจะช่วยสร้างประสบการณ์ที่ Personalized กับลูกค้า เป็นการยกระดับการมีส่วนร่วมให้ดีขึ้น และยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของแคมเปญการตลาดให้กับแบรนด์ของคุณ ข้อเสียของ Zero-Party Data เป็นข้อมูลที่ต้องอาศัยการให้ข้อมูลจากลูกค้า ซึ่งบางครั้งอาจจะได้มาไม่ครบถ้วน แบรนด์ต้องใช้ความพยายามและเวลาในการรวบรวมข้อมูล ต้องสร้างแรงจูงใจให้ลูกค้าแบ่งปันข้อมูลให้กับแบรนด์ให้ได้ คลิก เพื่ออ่านบทความทำความรู้จัก Zero-Party Data แบบเจาะลึก ได้ที่นี่  First-Party Data (ข้อมูลปฐมภูมิ) เป็นการเก็บข้อมูลที่แบรนด์ได้รวบรวมมาจากลูกค้าโดยตรงผ่านช่องทางต่าง ๆ ที่มีด้วยตัวเอง เพื่อให้แบรนด์สามารถระบุตัวตน พฤติกรรม ความต้องการ และประวัติของลูกค้า ในการสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าแต่ละคนได้ ตัวอย่าง First-Party Data ประวัติการซื้อสินค้า ยอดชำระ และวันที่ลูกค้าซื้อสินค้าบนช่องทางร้านค้าออนไลน์ พฤติกรรมการเข้าดูเว็บไซต์ ระยะเวลาที่อยู่ในหน้าจอของลูกค้าบนเว็บไซต์บริษัทจองตั๋วเครื่องบิน จำนวนครั้งที่ลูกค้าเปิดแอปฟิตเนสและการคลิกวิธีที่ต้องการออกกำลังกาย ข้อดีของ First-Party Data ข้อมูลครบถ้วนสมบูรณ์และมีรายละเอียดเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมและความชอบของลูกค้า แบรนด์เป็นเจ้าของข้อมูลนี้โดยตรง สามารถควบคุมวิธีการใช้ข้อมูลได้ตามความต้องการ ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการได้รับข้อมูลเหล่านี้มา สามารถนำข้อมูลมาสร้างการตลาดที่เฉพาะตัว แบ่งกลุ่มลูกค้า เพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์และปรับประสิทธิภาพของกระบวนการทำงานได้ ข้อเสียของ First-Party Data ต้องให้ความสำคัญกับมาตรการในการรวบรวมข้อมูลจะต้องมีความโปร่งใสและเป็นไปตามกฎระเบียบ แบรนด์ต้องมีโครงสร้างพื้นฐาน...

Continue reading
What is Project Management

Project Management คืออะไร? มีขั้นตอนอย่างไรบ้าง? ไปดูกัน!

เลือกอ่านหัวข้อที่คุณต้องการได้เลย! Project Management คืออะไร? Project Management คือ การบริหารโปรเจกต์ การจัดระเบียบ การติดตาม และการจัดการดำเนินงานทั้งหมดภายในโปรเจกต์ เพื่อให้โปรเจกต์นั้นบรรลุตามเป้าหมาย ตามเวลาและตามงบประมาณที่วางไว้ ซึ่งในปัจจุบัน Project Management Tool ช่วยให้ทีมของคุณสามารถจัดระเบียบรายละเอียดงานทั้งหมดของคุณไว้ในที่เดียว แชร์ความคิดเห็นในแต่ละ Task งาน มองเห็นความคืบหน้าของ Process งานทั้งหมด และสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ขั้นตอนการทำ Project Management มีอะไรบ้าง? ทุกโปรเจกต์จะมีความแตกต่างกันเล็กน้อย ขึ้นอยู่กับโปรเจกต์ที่คุณกำลังทำงานอยู่ ทีมที่คุณอยู่ และทีมของคุณต้องการมีรูปแบบการทำงานร่วมกันอย่างไร? แต่โดยทั่วไปแล้วการทำ Project Management จะมี 5 ขั้นตอนหลัก ๆ ที่เกิดขึ้นดังนี้ 1. การเริ่มต้นโปรเจกต์ (Project Initiation) จะเป็นช่วงที่คุณต้องการรวบรวมทีมงานที่เกี่ยวข้องกับโปรเจกต์นี้ทั้งหมดและระบุขอบเขตของโปรเจกต์นี้ให้ชัดเจน โดยจะขึ้นอยู่กับความซับซ้อนและขนาดของโปรเจกต์ของคุณ ซึ่งคุณอาจจะต้องการสร้างแผนงานของโปรเจกต์ไว้ด้วย เพื่อนำไปสู่ขั้นตอนต่อไป 2. การวางแผนโปรเจกต์ (Project Planning) คือ การที่คุณร่างข้อกำหนดของโปรเจกต์และกำหนดว่า “ความสำเร็จหรือเป้าหมายของโปรเจกต์” นี้คืออะไร? แต่ละขั้นตอนมีความสำคัญกับการจัดการโปรเจกต์เพื่อให้ประสบความสำเร็จและบรรลุเป้าหมายอย่างไร? ในขั้นตอนการวางแผน คุณจะสร้างแผนโปรเจกต์ ระบุความสำคัญและลำดับเวลาของแต่ละ Task งาน พร้อมกับการแบ่งหน้าที่และมอบหมายงานให้กับทีมต่าง ๆ ตามด้วยจัดการงบประมาณและค่าใช้จ่ายในท้ายที่สุด 3. การดำเนินโปรเจกต์ (Project Execution) โปรเจกต์ส่วนใหญ่มักจะติดอยู่ในขั้นตอนนี้ ซึ่งเป็นเวลาที่คุณและทีมจะต้องดำเนินการเพื่อให้ได้ผลสำเร็จของโปรเจกต์ ในระหว่างขั้นตอนดำเนินการนี้ คุณจะต้องมีทักษะในการจัดการปริมาณงาน การจัดการเวลา และการจัดการงานเพื่อให้แน่ใจว่าทีมของคุณสามารถรับมือกับมันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เป็นไปตามแผน และงานไม่ล้นมือจนเกินไป ซึ่งในขั้นตอนนี้ หากคุณมี Project Management Tool มาเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการโปรเจกต์ จะทำให้คุณมองเห็นภาพกว้างของโปรเจกต์ที่ทุกทีมได้รับรวมถึงปริมาณงานที่กำลังดำเนินการอยู่ได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น 4. ผลการดำเนินงานของโปรเจกต์ (Project Performance) การรายงานผลสามารถเกิดขึ้นได้ 2 ช่วงเวลาด้วยกัน คือ ในระหว่างการดำเนินงานและหลังขั้นตอนการดำเนินการเสร็จสิ้น ระหว่างการดำเนินงาน การรายงานผลจะช่วยให้ผู้จัดการโปรเจกต์ (Project Manager) มองเห็นถึงปัญหาที่คุณติดอยู่หรือสิ่งที่คุณต้องการความช่วยเหลือ...

Continue reading

Lunch & Learn Workshop: BRAZE Up Your Customer Journey 2024

BRAZE Up Your Customer Journey 2024 วันพุธที่ 6 มีนาคม 2567 (6 March 2024) เวลา 11.00 – 15.00 น. (11.00 AM – 3.00 PM) สถานที่ The Great Room, Park Silom ลงทะเบียนเพื่อขอรับสิทธิ์ร่วมงาน BRAZE Up Your Customer Journey 2024 วันพุธที่ 6 มีนาคม 2567 (6 March 2024) เวลา 11.00 – 15.00 น. (11.00 AM – 3.00 PM) สถานที่ The Great Room, Park Silom ลงทะเบียนเพื่อขอรับสิทธิ์ร่วมงาน Demeter ICT ร่วมกับ Braze ขอเชิญท่านเข้าร่วมกิจกรรม Workshop พร้อมอัปเดตเทรนด์การตลาดสุด Exclusive และร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับเราในงาน ‘Lunch & Learn Workshop: Braze Up Your Customer Journey 2024’ ที่จัดขึ้นสำหรับแขกคนพิเศษของเราเท่านั้น! ภายในงานท่านจะได้พบกับวิทยากรจาก Braze และ Demeter ICT ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้ ความเชี่ยวชาญทางด้านแพลตฟอร์ม Martech มาอย่างยาวนาน รวมถึงแขกรับเชิญสุดพิเศษ! ที่จะมาแบ่งปันและพูดคุยถึงประสบการณ์การใช้งาน รวมถึงไอเดียกลยุทธ์การตลาดที่ทางแบรนด์ใช้ร่วมกับ Braze กันอย่างใกล้ชิด พร้อมกิจกรรม Workshop กับผู้เชี่ยวชาญของเราที่จะพาคุณลงมือทำจริงแบบ Step by...

Continue reading
What is Zero Party Data

รู้จัก Zero-Party Data กลยุทธ์เก็บข้อมูลลูกค้าด้วยความเต็มใจ

เลือกอ่านหัวข้อที่คุณต้องการได้เลย! Zero-Party Data คืออะไร? Zero-Party Data คือ ข้อมูลที่ลูกค้าหรือผู้ใช้งานจงใจและเต็มใจแบ่งปันให้กับธุรกิจหรือแบรนด์โดยตรง ทาง Forrester ให้คำจำกัดความไว้แบบนี้ ซึ่งในบางกรณีลูกค้าจะได้รับประโยชน์จากธุรกิจหรือแบรนด์เพื่อเป็นข้อแลกเปลี่ยนกัน ข้อมูลเหล่านี้สามารถเก็บได้จากการทำแบบสำรวจต่าง ๆ ผ่านช่องทางออนไลน์ การทำแบบสอบถามที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการ หรืออาจเป็นคำตอบจากลูกค้าที่ตอบมาเพื่อเล่นเกมที่ธุรกิจหรือแบรนด์นั้น ๆ จัดขึ้น ภาพจาก stackadapt ความสำคัญของ Zero-Party Data ด้วยความที่ในปัจจุบันมีกฏหมายหรือข้อบังคับมากมายเกี่ยวกับการป้องกันหรือความปลอดภัยของข้อมูล เช่น GDPR, CCPA หรือที่ในบ้านเรารู้จักกันในชื่อ PDPA ข้อบังคับเหล่านี้ทำให้การเก็บรวบรวมข้อมูลของลูกค้ามีความยุ่งยากกว่าเมื่อก่อน หรือถ้าคุณต้องการมองหาข้อมูลจากบุคคลที่สามก็ทำให้มีราคาที่สูงขึ้นตามไปด้วย จึงทำให้หลาย ๆ ธุรกิจ เริ่มหันมาทำ Zero-Party Data กันมากยิ่งขึ้น Zero-Party Data ไม่เพียงแต่จะสร้างความปลอดภัยทางด้านข้อมูลให้กับธุรกิจหรือแบรนด์เท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นและความภักดีให้กับลูกค้าของคุณอีกด้วย เพราะพวกเขาเชื่อใจได้ว่าข้อมูลเหล่านั้นเป็นสิ่งที่พวกเขาอนุญาตและเต็มใจที่มอบให้คุณแล้ว เพื่อให้คุณมอบประสบการณ์ที่ Personalized กับพวกเขาได้ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้เกิด Conversion หรือการมีส่วนร่วมระหว่างแบรนด์กับลูกค้าไปพร้อม ๆ กันได้อีกด้วย ประโยชน์ของ Zero-Party Data มีอะไรบ้าง? 1. ประสบการณ์ที่เฉพาะตัวขั้นสูง (Hyper-Personalized Experiences) จากข้อมูล Zero-Party Data แบรนด์สามารถนำข้อมูลมาต่อยอดในการสร้าง Personalized Marketing โดยปรับแต่งคำแนะนำของสินค้า ข้อความทางการตลาด หรือแม้แต่เนื้อหาต่าง ๆ ให้มีความเฉพาะตัวและเหมาะกับลูกค้าแต่ละคน 2. แคมเปญการตลาดที่มีประสิทธิภาพ (Effective Marketing Campaigns) เมื่อคุณทำความรู้จักลูกค้าและมีข้อมูลที่เชิงลึกมากขึ้น ช่วยให้คุณสามารถสร้างแคมเปญการตลาดที่ตรงใจกับกลุ่มเป้าหมาย ส่งผลให้มีผลลัพธ์และมี Conversion ที่สูงขึ้นตามไปด้วย 3. การมีส่วนร่วมของลูกค้าที่ดีขึ้น (Improve Customer Engagement) จากผลสำรวจพบว่า หากแคมเปญการตลาดหรือเนื้อหาของคุณมีความเฉพาะตัวและตรงใจกับลูกค้า ทำให้ลูกค้าอยากมีส่วนร่วมหรือแบ่งปันข้อมูลให้กับแบรนด์ของคุณมากขึ้นเช่นกัน จุดเด่นของ Zero-Party Data คืออะไร? อยู่บนพื้นฐานความยินยอม (Consent Based) ลูกค้าเต็มใจให้ข้อมูลนี้แก่แบรนด์ของคุณ โดยมักจะคาดหวังถึงประสบการณ์ที่ดีขึ้นหรือผลประโยชน์ส่วนบุคคล มีความแม่นยำสูง...

Continue reading
What is Asana platform

Asana คืออะไร? รู้จัก Asana ซอฟต์แวร์ด้านการทำ Project Management ที่ดีที่สุด

เลือกอ่านหัวข้อที่คุณต้องการได้เลย! Asana คืออะไร? Asana คือ ซอฟต์แวร์เพื่อการบริหารจัดการโปรเจกต์ (Project Management Software) ที่สร้างขึ้นเพื่อให้บุคคล ทีม แผนก หรือองค์กรสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด เช่น การจัดระเบียบทีมหรือฝ่ายที่เกี่ยวข้อง การติดตามการทำงาน โปรเจกต์ และเป้าหมายให้สำเร็จตามแผนที่วางไว้ ทั้งนี้ Asana ยังเป็นแพลตฟอร์มที่มีความยืดหยุ่นสูงเหมาะกับการทำงานในปัจจุบัน ทั้งการตั้งค่ามุมมองของหน้าจอการทำงานให้เหมาะสมกับตัวเองได้ การเชื่อมต่อเข้ากับแพลตฟอร์มอื่น ๆ ที่องค์กรใช้งานอยู่ การสร้างรีพอร์ทเพื่อให้เห็นภาพรวมของโปรเจกต์เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของการทำงานและทีมที่ตรงจุด รวมถึงการใช้งานบนมือถือที่เป็นแอปพลิเคชันและรองรับทั้ง iOS และ Android สามารถติดตามโปรเจกต์ได้แม้กระทั่งตอนเดินทาง ฟีเจอร์ของ Asana มีอะไรบ้าง? จัดระเบียบงาน (Organize work) : สร้าง Tasks งานหรือโปรเจกต์ พร้อมกระจายงานที่สามารถจัดการได้และมอบหมายงานให้กับสมาชิกในทีมที่เกี่ยวข้อง ทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ (Collaborate effectively) : สามารถสื่อสารกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง แชร์ไฟล์ และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความคืบหน้าของงาน ภายใน Asana ได้ทั้งหมด ติดตามความคืบหน้า (Track progress) : ติดตามดูสถานะของงานและโปรเจกต์ทั้งหมดได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย กำหนดเวลาของโปรเจกต์ (Project deadlines) : กำหนดเวลาสำหรับงานและโปรเจกต์ และมีการส่งแจ้งเตือนเมื่อเวลานั้นใกล้เข้ามา จัดลำดับความสำคัญของงาน (Prioritize work) : ใช้ฟีเจอร์ที่ช่วยจัดลำดับความสำคัญและวันครบกำหนดเพื่อให้แน่ใจว่างานไหนสำคัญที่สุดและต้องทำให้เสร็จก่อน กำหนดเป้าหมาย (Set goals) : ติดตามความคืบหน้าของงาน เพื่อนำไปสู่เป้าหมายหลักของบริษัท และดูว่างานแต่ละอย่างมีส่วนช่วยให้ภาพรวมของบริษัทโตขึ้นได้อย่างไร การเชื่อมต่ออย่างอิสระ (Integrations) : เชื่อมต่อ Asana กับเครื่องมือและแพลตฟอร์มที่คุณใช้อยู่แล้ว เช่น Slack, Google Drive, Dropbox และอื่น ๆ ได้อย่างง่ายดาย ประโยชน์ของการใช้ Asana คืออะไร? 1.ช่วยจัดระเบียบและเพิ่มความชัดเจนให้กับองค์กร (Improved organization and clarity) ศูนย์กลางของข้อมูล: ช่วยกำจัดข้อมูลที่กระจัดกระจายทั้งในอีเมล...

Continue reading
Marketing Trends for 2024

สรุป 10 Marketing Trends in 2024 จาก Forbes

โลกการตลาดกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในทุก ๆ ปี ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค การเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้น และอื่น ๆ  อีกมากมาย ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อแนวทางการทำการตลาดทั้งสิ้น ซึ่งในปี 2024 นี้ ทาง Forbes ได้รวบรวม Marketing Trends ใหม่ ๆ รวมถึงเทรนด์ที่ยังคงได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่องจากปีก่อน ๆ ในการช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจของคุณ และเป็นกลยุทธ์ที่นำไปใช้ได้จริงสำหรับธุรกิจ เพื่อรักษาความสามารถทางการแข่งขันในปี 2024 นี้ได้ จะมีอะไรบ้าง? ไปดูกัน! เลือกอ่านหัวข้อที่คุณต้องการได้เลย! 1. AI Marketing Automation การผสานเอา AI มาปรับเข้ากับการตลาดหรือที่เรียกว่า AI Marketing จะช่วยยกระดับวิธีการวิเคราะห์ข้อมูล ปรับแต่งประสบการณ์ของลูกค้า และเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญการตลาดต่าง ๆ ของบริษัท ตัวอย่างเช่น แชทบอทรับส่งข้อความที่ขับเคลื่อนด้วย AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการโต้ตอบกับลูกค้าด้วยการมอบประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัว (Personalization) ซึ่งช่วยสร้างการเชื่อมต่อกับลูกค้าที่แท้จริงมากขึ้น เท่ากับว่านักการตลาดในปี 2024 จะต้องมีทักษะด้าน AI Management ต้องเป็น AI Manager หรือ AI Director ทำหน้าที่บริหารจัดการ AI ในฐานะเป็นหัวหน้าของ AI เพื่อจัดการกระบวนการทำงานระหว่างมนุษย์กับ AI ให้เกิดประสิทธิภาพสูงที่สุด 2. Augmented Reality (AR) & Virtual Reality (VR) เทคโนโลยีสมจริงอย่าง AR และ VR ช่วยให้การเล่าเรื่องแบรนด์สมจริงมากยิ่งขึ้น และเพิ่มช่องทางการมีส่วนร่วมของผู้บริโภค ในปี 2024 นี้ คาดหวังว่าเทคโนโลยีเหล่านี้จะประสานเข้ากับความพยายามทางการตลาดเชิงกลยุทธ์ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ร้านค้าแนวเทคโนโลยีสามารถยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าได้ และเพิ่มมูลค่าให้แก่แบรนด์ของพวกเขาได้โดยการเสนอประสบการณ์การลองใช้งานสินค้าแบบเสมือนจริงแก่ลูกค้า 3. Hyper-Personalization ด้วยความก้าวหน้าของ AI และการเรียนรู้ความสามารถของเทคโนโลยีในปัจจุบัน ส่งผลให้นักการตลาดสามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกของลูกค้าจำนวนมากได้ และสามารถนำข้อมูลเหล่านั้นมาปรับปรุงประสบการณ์และปรับแต่งเนื้อหาคอนเทนต์ แคมเปญการตลาด และออกแบบข้อเสนอให้กับลูกค้าได้ตรงใจมากยิ่งขึ้น เช่น มีลูกค้าชื่อว่า...

Continue reading

6 Steps สร้าง Data-Driven Marketing ให้ประสบความสำเร็จ

บทความก่อนหน้านี้เราได้พูดถึงนิยามของการทำ Data-Driven รวมถึงความสำคัญและข้อดีของการทำ Data-Driven Marketing ไปแล้ว ใครอยากอ่านบทความ ‘ไขกุญแจสู่ความสำเร็จ สร้างการตลาดที่ตรงใจลูกค้าด้วยกลยุทธ์ Data-Driven’ สามารถคลิก ที่นี่ ในวันนี้เราจะมาบอกขั้นตอนการสร้างกลยุทธ์ Data-Driven Marketing แบบ Step by Step ที่จะช่วยให้นักการตลาดสามารถสร้างแคมเปญการตลาดที่ตรงใจและยังช่วยให้องค์กรประสบความสำเร็จได้อีกด้วย ซึ่งการสร้างกลยุทธ์ Data-Driven Marketing มีด้วยกัน 6 ขั้นตอนดังนี้ เลือกอ่านหัวข้อที่คุณต้องการได้เลย! 1. การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data Culture) ก่อนอื่นการที่องค์กรจะสามารถสร้างกลยุทธ์ Data-Driven Marketing ได้นั้น สิ่งแรกที่สำคัญที่สุดคือการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ให้ความสำคัญกับข้อมูล (Data-Driven Organization) ทุกคนในองค์กรต้องตระหนักถึงความสำคัญของข้อมูลและเห็นประโยชน์ของการใช้ข้อมูลในการประกอบการตัดสินใจหรือกระบวนการทำงานต่าง ๆ การจะสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ให้ความสำคัญกับข้อมูลนั้น ต้องได้รับการส่งเสริมจาก CEO หรือฝ่ายบริหาร ด้วยการให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้และวิเคราะห์ข้อมูลในการทำงาน รวมถึงแสดงประสิทธิภาพของการทำ Data-Driven โดยอาจจะเริ่มจากสิ่งที่ทำได้ง่าย รวดเร็วและเห็นผลลัพธ์ได้เร็วที่สุด เพื่อแสดงให้ทุกคนเห็นว่าการขับเคลื่อนกระบวนการทำงานด้วยข้อมูลนั้นมีประโยชน์อย่างแท้จริง 2. การกำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมาย (Data Objectives) การกำหนดวัตถุประสงค์ของการทำ Data-Driven Marketing เพื่อให้นักการตลาดทราบว่าเราต้องการใช้ข้อมูลอะไรบ้าง? และเราจะนำข้อมูลเหล่านี้ไปทำอะไร? พร้อมกับการตั้งเป้าหมายและตัวชี้วัดประสิทธิภาพ (KPIs) เพื่อติดตามความคืบหน้าและประเมินความสำเร็จของการทำ Data-Driven Marketing ว่าตรงกับเป้าหมายที่องค์กรต้องการหรือไม่? ยิ่งเป็นการช่วยให้นักการตลาดสามารถทำงานได้ง่ายและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น โดยเป้าหมายของการใช้ Data-Driven Marketing สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ เป็นเป้าหมายระยะยาว เช่น การเพิ่มยอดขาย การเพิ่มการรับรู้ของแบรนด์ หรือการลดต้นทุนให้องค์กร เป้าหมายเชิงปฏิบัติการ เป็นเป้าหมายระยะสั้น เช่น การเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ การส่งเสริมให้เกิดการมีส่วนร่วมบนโซเชียลมีเดีย หรือการกระตุ้นยอดขายจากแคมเปญการตลาด 3. การเก็บรวบรวมข้อมูล (Data Collection) การรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการทำ Data-Driven Marketing สามารถเก็บได้จากหลากหลายแหล่ง เช่น ข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าที่เราเก็บมาเอง ข้อมูลจากเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน ข้อมูลจากอีเมลหรือข้อความบนมือถือ ข้อมูลจากโซเชียลมีเดีย...

Continue reading