G Suite ตอบโจทย์องค์กรยุคใหม่ ด้วยฟีเจอร์การทำงานร่วมกัน

หลาย ๆ องค์กรเริ่มมีการปรับตัวให้เข้ากับยุคปัจจุบันที่เรียกว่า ยุคดิจิตอล มีการปรับรูปแบบการทำงานไปตามสถานการณ์ไม่ว่าจะเป็นการ Work Form Home การประชุมออนไลน์ หรือการแชร์ข้อมูลผ่านระบบคลาวด์ (Cloud) ซึ่ง G Suite นั้นสามารถตอบโจทย์ให้กับองค์กรยุคใหม่ได้ด้วยฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่จะทำให้การทำงานร่วมกัน (Collaboration) ของคนภายในองค์กรมีประสิทธิภาพและสะดวกสบายมากขึ้น ไม่ว่าจะทำงานที่ไหน เวลาใดก็สามารถเข้าถึง G Suite ได้   โดยเราสามารถแบ่งฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่สามารถทำงานร่วมกันได้ ดังนี้ 1. เชื่อมต่อระหว่าง Gmail, Google Chat, Google Calendar, Google Meet องค์กรสามารถมีอีเมลที่เป็นโดเมนเนมขององค์กรเองได้จาก Gmail เช่น you@yourcompany.com โดยรับส่งอีเมลได้อย่างไม่จำกัด และในอีเมลยังสามารถใช้ Google Chat ในการพูดคุยกับคนในองค์กรได้ นอกจากนี้ยังสามารถจัดการวางแผนนัดประชุมจาก Google Calendar และแชร์ตารางให้กับเพื่อนร่วมงาน อีกทั้งองค์กรสามารถจัดประชุมออนไลน์ได้ด้วย Google Meet ที่เข้าร่วมสูงสุดได้ถึง 250 คน 2. สร้างเอกสารร่วมกัน คนในองค์กรสามารถเข้าถึง สร้าง แก้ไขเอกสารร่วมกันผ่านฟีเจอร์ต่าง ๆ เช่น Docs, Sheets, Slides ฟีเจอร์นี้จะทำให้ทุกคนสามารถ Brainstorms ร่วมกันได้ง่ายขึ้น โดยเอกสารจะแสดงข้อมูลแบบเรียลไทม์ผ่านหน้าจอของทุกคนไป พร้อม ๆ กัน 3. แชร์ข้อมูลได้ทุกที่ ทุกเวลา ความโดดเด่นของ G Suite อีกหนึ่งอย่างคงหนีไม่พ้นกับฟีเจอร์ Google Drive ที่สามารถเก็บข้อมูลบนคลาวด์ (Cloud) ทำให้คนภายในองค์กรหรือคนอื่น ๆ ที่เราอยากจะแชร์สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ทุกที่ ทุกเวลา ไม่ต้องปริ้นท์กระดาษ หรือเปลืองพื้นที่ Hard Disk ในคอม 4. ควบคุมข้อมูลอย่างปลอดภัย แน่นอนว่าทุกอย่างใน G suite จะต้องปลอดภัย เป็นความลับ และไม่รั่วไหล ซึ่งองค์กรหายห่วงได้จากฟีเจอร์ Google Vaults  ที่เป็นเหมือนห้องนิรภัย...

Continue reading

Customer Support Trends และการรับมือลูกค้าในยุคที่อะไร ๆ ก็เป็น Omnichannel

Zendesk แพลตฟอร์มที่ออกแบบมาเพื่อ “CRM” และ “Customer Support” ตอบโจทย์การให้บริการในยุคที่ผู้บริโภคหรือลูกค้าต่างใช้ชีวิตและติดต่อสื่อสารกันผ่านทางออนไลน์และโซเชียลมีเดีย ทำให้ธุรกิจหรือแบรนด์ต่างก็ต้องเปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงได้หลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น Call Center, Email, Facebook Messenger, Instagram, LINE, Twitter, Website Web Form และ Live Chat การที่ธุรกิจหรือแบรนด์มีการ support ลูกค้าในทุกช่องทาง ทั้งนี้ก็เพื่อสร้างความสะดวกสบายให้ลูกค้าสามารถติดต่อและเข้าถึงแบรนด์ได้ในช่องทางที่ลูกค้าสะดวกและคุ้นเคย ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี แต่การที่จะบริหารจัดการลูกค้าพร้อมกันในหลาย ๆ ช่องทางนั้นเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวและมักสร้างปัญหาในเรื่องของการทำงานที่ซ้ำซ้อนให้กับทีมซัพพอร์ตลูกค้าอยู่ไม่น้อย ทำให้บริษัทในปัจจุบันจำเป็นต้องมี Admin คอยดูแล ตอบคำถามและแก้ไขปัญหาให้กับลูกค้าต่างช่องทางกันตามความเชี่ยวชาญของแต่ละทีม ยกตัวอย่างเช่น Admin ที่ดูแลเนื้อหาบนโซเชียล รวมทั้งคอยตอบคำถามทาง inbox Admin ที่ดูแลเนื้อหาบนเว็บไซต์ รวมทั้งคอยตอบคำถามทาง Email Admin ที่ตอบคำถามและบริการลูกค้าทาง LINE ทีม Call Center ที่รับเรื่อง ตอบคำถามและประสานงานกับทีมอื่น ๆ ให้กับลูกค้า ซึ่งหากอ้างอิงจากลิสด้านบนอย่างคร่าว ๆ ใน 1 องค์กร จำเป็นต้องมี Admin อย่างน้อย 4 คน หรือมากกว่า 2 ทีม ที่ต้องคอยตอบคำถาม แก้ไขปัญหา รับเรื่องร้องเรียนของลูกค้าในแต่ละวัน ในจุด ๆ นี้เองที่จะทำให้เกิดปัญหาความซ้ำซ้อนเกิดขึ้น ทั้งความซ้ำซ้อนของการทำงาน และความซ้ำซ้อนที่ลูกค้าจะได้รับ ดังตัวอย่างต่อไปนี้ ลูกค้าท่านเดียวกัน แต่ติดต่อเข้ามาต่างช่องทาง หากเจ้าหน้าที่ของทั้ง 2 ทีมไม่มีการทำงานร่วมกันจะเกิดการแก้ปัญหาที่ซ้ำซ้อน ลูกค้าแจ้งเรื่องกับเจ้าหน้าที่ Call Center เจ้าหน้าที่ทำการโอนสายให้ทีมที่เกี่ยวข้อง ลูกค้าต้องตอบคำถามและเล่าปัญหาเรื่องเดิมซ้ำ ๆ ปัญหาการทำงานที่ซ้ำซ้อนดังกล่าวก่อให้เกิดการทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ สิ้นเปลืองเวลาโดยไม่จำเป็น และอาจกลายเป็นการสร้างประสบการณ์ที่ไม่ประทับใจในการรับบริการให้กับลูกค้าได้ Customer Support เทรนด์ของลูกค้าในยุค Seamless และ Omnichannel 60% ของลูกค้า เลือกใช้มากกว่าหนึ่งช่องทางในการติดต่อกับแบรนด์...

Continue reading

ทีมของคุณพร้อมสำหรับวันหยุดปีใหม่นี้หรือยัง?

ในช่วงวันหยุดยาวของการส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ปี 2020 ที่กำลังจะถึงนี้ ก็ถือเป็นเทศกาลที่ธุรกิจอาจมีการหยุดให้บริการในช่วงนั้น ๆ หรือการบริหารจัดการพนักงานที่ต้องอยู่ทำงานในช่วงวันหยุดอาจมีความเบาบางและไม่สามารถให้บริการได้อย่างเต็มที่เท่าตอนเปิดบริการตามเวลาปกติ บางปัญหา… ลูกค้าอาจรอได้ และบางปัญหา… ลูกค้าก็อาจจะรอไม่ได้ ซึ่งหากเกิดกรณีเหล่านี้ขึ้น สิ่งสุดท้ายที่ลูกค้าต้องการคงไม่ใช่การถือสายรอ หรือการถูกโอนสายไป ๆ มา ๆ ระหว่างแผนกเป็นแน่แท้ สำหรับบริษัทที่ไม่อยากสูญเสียลูกค้าไปจากความไม่พร้อมในการเตรียมการรับมือกับลูกค้าในช่วงวันหยุด จึงควรมีการเตรียมแผนรับมือล่วงหน้าให้กับแผนกบริการลูกค้าหรือแผนกซัพพอร์ตลูกค้าไว้เป็นกรณีพิเศษสำหรับช่วงเทศกาลปีใหม่ เพราะการเตรียมทีมบริการลูกค้าที่ดีก็เหมือนแสงสว่างให้กับลูกค้าที่กำลังมองหาความช่วยเหลือ และเป็นโอกาสอันดีที่จะคงไว้ซึ่งความสัมพันธ์และเป็นการเพิ่มความภักดีให้กับลูกค้า สิ่งแรกที่บริษัทต้องทำคือการเตรียมรับมือกับจำนวนการติดต่อของลูกค้าที่จะเข้ามาให้มากกว่าจำนวนที่คาดการณ์ว่าจะได้รับ เพราะจากการศึกษาของ Zendesk พบว่า ปริมาณ ticket โดยรวมสามารถเพิ่มขึ้นได้มากถึง 42% ในช่วงวันหยุด โดยปริมาณ ticket ทางอีเมลจะเพิ่มขึ้นถึง 49% ช่องทางแชทเพิ่มขึ้นถึง 92% ขณะที่การสนทนาทางโทรศัพท์จะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าตัว และการสนทนาบนโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์ม เช่น Facebook เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า ซึ่งสำหรับบริษัทที่ไม่ได้มีการเตรียมการไว้รองรับการติดต่อกับลูกค้าจำนวนมากจะทำให้เวลาในการตอบสนองต่อลูกค้าโดยเฉลี่ยเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อคะแนนความพึงพอใจของลูกค้า หรือคะแนน CSAT เป็นอย่างมาก ทดลองใช้ trial ฟรี เวลาสำหรับ Omnichannel วิธีการที่ดีที่สุดในการรับมือกับปริมาณการติดต่อที่เพิ่มขึ้นคือการเพิ่มพนักงานหรือเจ้าหน้าที่เพื่อให้เหมาะสมกับจำนวนการติดต่อของลูกค้า โดย Zendesk พบว่าผู้ค้าปลีกมักเพิ่มเจ้าหน้าที่ 10-20% ในช่วงวันหยุด แต่ธุรกิจเหล่านั้นกลับต้องพิจารณาการจ้างงานเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากลักษณะที่เปลี่ยนไปของลูกค้าในปัจจุบันที่ต้องการการบริการแบบ Omnichannel หรือก็คือการที่ลูกค้าคาดหวังว่าจะสามารถติดต่อกับบริษัทใด ๆ ได้ทุกที่ทุกเวลาที่พวกเขาต้องการ ในช่องทางที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขา โดยพบว่า 95% ของลูกค้าใช้ช่องทางที่แตกต่างกัน 3 ช่องทาง ในการติดต่อกับบริษัทหรือแบรนด์ต่าง ๆ ความท้าทายของการซัพพอร์ตลูกค้า โดยส่วนใหญ่ทีมที่เล็กกว่ามักมีรูปแบบการรับพนักงานที่ผสมผสาน ภายใต้กรอบการทำงานทำให้พนักงานในทีมเล็ก ๆ ต้องมีความคล่องตัว สามารถปรับตัวได้ดีและมักจะได้รับการฝึกอบรมอย่างเต็มที่เพื่อจัดการกับคำขอของลูกค้าที่มาจากหลายช่องทางได้อย่างเหมาะสม ขณะเดียวกันทีมที่มีขนาดใหญ่มักมีรูปแบบการซัพพอร์ตที่เฉพาะตัวซึ่งเจ้าหน้าที่จะมีความเชี่ยวชาญในแต่ละด้านมากขึ้นและสามารถปลดล็อกประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานได้หลากหลายมากยิ่งขึ้น แต่ไม่ว่าทีมจะมีโครงสร้างอย่างไร สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจในปริมาณ ticket เพื่อที่จะจัดขนาดของทีมซัพพอร์ตได้อย่างเหมาะสม โดยมีตัวแปรที่ควรพิจารณาดังนี้ 1. ปริมาณ ticket ต่อวัน 2. เวลาเฉลี่ยในการจัดการกับ ticket ต่อวัน 3. เวลาเฉลี่ยที่เจ้าหน้าที่ใช้ในการรับลูกค้าทางโทรศัพท์ในแต่ละวัน ต้องใช้ Agents...

Continue reading

5 ช่องว่างของธุรกิจ SMB ที่มีผลต่อประสบการณ์ลูกค้า

เมื่อพูดถึงเรื่องของประสบการณ์ลูกค้า (Customer experience) กับธุรกิจ SMB สิ่งที่เรามักเจอก็คือช่องว่างระหว่างสิ่งที่พวกเขากำลังทำกับประสบการณ์จริง ๆ ที่ลูกค้าจะได้รับจากคุณภาพในการให้บริการของธุรกิจ โดยจากการวิเคราะห์ข้อมูลของธุรกิจ SMB ที่ใช้ Zendesk จำนวน 6,891 แห่ง จาก 104 ประเทศ และจากผลการสำรวจผู้นำทางด้านประสบการณ์ลูกค้าจำนวน 600 คน พบว่า ช่องว่างหลัก ๆ ที่มีผลต่อการบริการลูกค้ามีดังนี้ 1. ธุรกิจไม่ได้เสนอทางเลือกในการติดต่อให้กับลูกค้ามากนัก74% ของธุรกิจ SMB บอกว่าพวกเขากำลังทำ แต่มีเพียง 28% เท่านั้นที่เข้าถึงลูกค้าแบบ Omnichannel จริง ๆ 2. ธุรกิจไม่มีช่องทาง Self service ให้กับลูกค้า54% ใช้เพื่อวัดผลและตัดสินความสำเร็จ ขณะที่มีเพียง 9% เท่านั้นที่ใช้เพื่อช่วยเหลือลูกค้า 3. ธุรกิจไม่มีการเชื่อมต่อข้อมูล64% ของธุรกิจเห็นด้วยที่ต้องมีการเชื่อมต่อข้อมูล ขณะที่ 26% มีเครื่องมือที่ช่วยในการเชื่อมต่อและรวบรวมข้อมูลเข้าด้วยกัน 4. ธุรกิจตอบสนองต่อลูกค้าช้า85% มีการวัดผลความสำเร็จจากความรวดเร็ว และมี 22% ที่ใช้เวลามากกว่า 8 ชั่วโมง ในการตอบกลับลูกค้าครั้งแรก 5. ธุรกิจไม่รู้ถึงศักยภาพและคุณภาพในการให้บริการของตนเอง82% ของผู้นำทางธุรกิจ SMB ประเมินความสำเร็จจากประสบการณ์ของลูกค้า แต่เมื่อคิดเป็นสัดส่วนกับธุรกิจ SMB พบว่ามีมากถึง 2 ใน 3 ที่ไม่มีการวัดประสบการณ์ของลูกค้า (CSAT) แล้วธุรกิจ SMB ควรทำอย่างไร? 1. ผลักดันการให้บริการลูกค้าแบบ Omnichannel41% ของผู้นำทางด้านประสบการณ์ลูกค้ามักเสนอช่องทางการให้บริการลูกค้า 3 ช่องทางขึ้นไป 2. มอบเครื่องมือที่จำเป็นให้กับทีมของคุณบริษัท SMB ชั้นนำสามารถแก้ไข Ticket ได้เร็วขึ้นถึง 40% เมื่อใช้ Omnichannel โซลูชันเข้ามาช่วย 3. เชื่อมต่อ live channels เข้ากับธุรกิจ อย่างเช่น live...

Continue reading

6 วิธีในการพัฒนาประสบการณ์ของลูกค้าในทุกช่องทาง แบบ Omnichannel customer experience

ลูกค้าต้องการได้รับประสบการณ์ในการชอปปิ้งที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พวกเขาคาดหวังว่าบริษัทต่าง ๆ จะสามารถตอบสนองความต้องการของพวกเขาได้แม้ว่าพวกเขาจะใช้ช่องทางการสื่อสารที่แตกต่างกัน ดังนั้นการพัฒนาประสบการณ์ของลูกค้าในทุกช่องทางแบบ Omnichannel จึงเป็นสิ่งที่ธุรกิจควรคำนึงถึง และต่อไปนี้คือเคล็ดลับในการพัฒนาประสบการณ์ของลูกค้าในทุกช่องทาง 1. มอบทางเลือกให้กับลูกค้าลูกค้ามีความชอบและมีความสะดวกใจที่จะสื่อสารในช่องทางที่แตกต่างกัน บางคนชอบที่จะสื่อสารผ่านออนไลน์แชท หรือ อีเมล ขณะที่บางคนเลือกที่จะบริการตนเองผ่านการใช้ FAQs หรือคำถามที่พบบ่อย ในขณะที่ลูกค้าหลาย ๆ คนยังคงชื่นชอบการใช้โซเชียลมีเดียและโทรศัพท์ เป็นต้น ฉะนั้นความแตกต่างของภาวะการณ์เหล่านี้ต้องมีการปรับการบริการให้เหมาะสมและสอดคล้องต่อความต้องการของลูกค้า 2. อย่าปล่อยให้ลูกค้ารอนาน“เวลา” คือปัจจัยสำคัญในการรองรับประสบการณ์ของลูกค้าในเชิงบวกที่มีต่อแบรนด์ของคุณ จากข้อเท็จจริงในการขาย หากคุณปล่อยให้ลูกค้ารอถึง 5 นาทีค่อยตอบกลับ จะทำให้โอกาสในการติดต่อกับลูกค้ารายนั้นลดลงถึง 10 เท่า และหลังจาก 10 นาทีผ่านไป ตัวเลขของโอกาสในการรักษาลูกค้าจะลดลงถึง 400% เลยทีเดียว 3. ทำให้จุดสัมผัสทั้งหมดเป็นประโยชน์และมีประสิทธิภาพต่อการขายหากบริษัทของคุณสามารถให้บริการได้ตรงตามความคาดหวังของลูกค้า ลูกค้าจะเกิดความพึงพอใจในบริษัทของคุณมากยิ่งขึ้น และลูกค้าที่พึงพอใจมีแนวโน้มที่จะซื้อเพิ่ม จากรายงานของ Harvard Business Review การรักษาลูกค้าไว้ได้ 5% อาจหมายถึงรายได้ประจำปีที่เพิ่มขึ้นมากถึง 95% ความยืดหยุ่นจากการนำเสนอประสบการณ์ที่ไร้รอยต่อแบบ Omnichannel จึงเกี่ยวเนื่องกับการเติบโตของบริษัท ฉะนั้นคุณควรทำให้ลูกค้าแน่ใจว่าในทุก ๆ ช่องทางการติดต่อของธุรกิจ ลูกค้าสามารถติดต่อคุณได้โดยตรงและสามารถได้รับประสบการณ์ที่ง่ายในการเลือกซื้อสินค้าและบริการ นอกจากนี้ให้คิดไว้เสมอว่าการส่งลูกค้าจากช่องทางหนึ่งไปยังอีกช่องทางหนึ่งเพื่อสอบถามราคาหรือหาคำตอบนั้นเป็นเรื่องใหญ่ 4. เข้าใจลูกค้าลูกค้าจะบอกในสิ่งที่พวกเขาต้องการหากคุณเต็มใจและมีวิธีการที่ดีพอในการรับฟังพวกเขา ข้อมูลของลูกค้าในปัจจุบันและผู้มีโอกาสกลายเป็นลูกค้าถือเป็นแหล่งข้อมูลชั้นเยี่ยม การมีข้อมูลเหล่านี้อยู่ในมือจะช่วยให้คุณสามารถวิเคราะห์และพัฒนาการขายและการตลาดให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นได้ ฉะนั้นอย่าลืมกำหนดกลยุทธ์ให้ชัดเจน รวมถึงการทำนายพฤติกรรมของลูกค้าไปด้วย 5. มอบประสบการณ์ที่เป็นส่วนบุคคลให้กับลูกค้าการทำงานได้อย่างราบรื่นไร้รอยต่อในทุกช่องทางนั้นถือเป็นเพียงขั้นตอนแรก นอกเหนือจากนั้นการบริการลูกค้าแบบหลายช่องทาง (Omnichannel Customer Service) ยังหมายถึงการพิจารณาและวิเคราะห์ลูกค้าเป็นรายบุคคลจากการเก็บบันทึก และการทำความเข้าใจถึงวิธีการที่ลูกค้าใช้โต้ตอบว่าพวกเขามีความสนใจหรือชอบอะไรด้วย เป็นต้น 6. ซัพพอร์ตทีมบริการลูกค้าด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสมการขายสินค้าและบริการลูกค้าผ่านช่องทางที่แตกต่างกันนั้นเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับเจ้าหน้าที่ของทีมขายและทีมบริการลูกค้า บริษัทอาจเล็งเห็นถึงความสำคัญของช่องทางการบริการลูกค้าที่หลากหลาย แต่อาจไม่มีทรัพยากรที่จะซัพพอร์ตลูกค้าได้อย่างเหมาะสมในแต่ละช่องทาง ฉะนั้นการนำเทคโนโลยีหรือซอฟต์แวร์ที่เหมาะสมเข้ามาช่วยก็เป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึง ซึ่งในปัจจุบันก็มีเครื่องมือและซอฟต์แวร์ที่สามารถช่วยธุรกิจและทีมงานได้ ตัวอย่างเช่น Omnichannel Customer Support Software ที่มีอยู่มากมายให้ธุรกิจทุกประเภทและทุกขนาดสามารถเลือกมาปรับใช้ เป็นต้น สนใจทดลองใช้ Zendesk ฟรี หรือสอบถาม ราคา Zendesk ติดต่อบริษัท ดีมีเตอร์ ไอซีที จำกัด ผู้ให้บริการระบบ Zendesk ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ – Zendesk Thailand Partner สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม...

Continue reading

ระบบ Help Desk คืออะไร? มาทำความรู้จักกัน

การบริการลูกค้าส่วนใหญ่มักเริ่มต้นที่ Help desk แต่ Help Desk คืออะไร? ทำงานอย่างไร? และบริษัทจะได้รับประโยชน์อย่างไร? เมื่อใช้ Help Desk หากจะให้แปลคำว่า Help Desk ออกมาเป็นภาษาไทยแบบตรง ๆ ก็คงจะหมายถึง “โต๊ะช่วยเหลือ” แต่ความจริงแล้ว Help Desk ไม่ใช่โต๊ะทำงานจริง ๆ หากแต่เป็นซอฟต์แวร์ หรือชุดของเครื่องมือที่ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องสามารถดูแลลูกค้าได้อย่างง่ายดายและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อสื่อสารกับลูกค้า การติดตาม การจัดลำดับความสำคัญ การแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับลูกค้า และการเก็บบันทึกข้อมูลการติดต่อของลูกค้าที่เข้ามาจากช่องทางการให้บริการต่าง ๆ เป็นต้น เนื่องจากในปัจจุบันการมีช่องทางให้ลูกค้าสามารถติดต่อผ่านอีเมลและโทรศัพท์อาจไม่เพียงพอ เมื่อโลกเข้าสู่ยุคดิจิทัลและสื่อโซเชียลมีเดียเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของมนุษย์ ทำให้องค์กรต้องปรับตัวให้ก้าวทันเทคโนโลยีที่ลูกค้าใช้ ฉะนั้นระบบ Help Desk จึงได้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเข้ามามีส่วนในการบริหารจัดการช่องทางการติดต่อของลูกค้าที่มีอยู่มากมายหลายช่องทางเข้าไว้ด้วยกันในหน้าแพลตฟอร์มเดียว เพื่อช่วยให้การติดตามปัญหาหรือการแก้ไขปัญหาของลูกค้าเป็นไปอย่างง่ายดายและรวดเร็วขึ้นนั่นเอง ลักษณะทั่วไปของระบบ Help desk จะประกอบไปด้วย 3 ส่วนหลัก ๆ คือ 1. ระบบบริหารจัดการ Ticket (Ticket Management) 2. ระบบการทำงานแบบอัตโนมัติ (Automations/Triggers) 3. ระบบการรายงานผล (Analytics/Reporting) ซอฟต์แวร์ Help Desk ทำงานอย่างไร? เมื่อลูกค้า (User) ติดต่อคุณเข้ามาผ่านช่องทางให้บริการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น อีเมล โทรศัพท์ ไลฟ์แชท เว็บฟอร์ม รวมถึงสื่อโซเชียลมีเดีย ทุก ๆ การติดต่อจะถูกรวบรวมไปยัง Help Desk และถูกเปิดเป็น Support Ticket ตามลำดับหมายเลขการให้บริการหรือตามความสำคัญของ ticket นั้น ๆ โดย help desk จะทำการแจกจ่าย ticket ไปยังเจ้าหน้าที่ (Agent) ในฝ่ายต่าง ๆ ที่เหมาะสมตามข้อมูลที่ได้ตั้งค่าไว้ในระบบ ซึ่ง ticket เหล่านั้นจะมีข้อมูลของลูกค้า...

Continue reading

ระบบ Automations VS. Triggers – แตกต่างกันอย่างไร?

หากเราพูดถึงฟังก์ชัน 2 ฟังก์ชันที่มีอยู่ใน Zendesk Support อันได้แก่ Automations และ Triggers ว่าทั้งสองฟังก์ชันนี้มีความแตกต่างกันอย่างไร? และควรใช้เมื่อไหร่? เพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจ จะขอจำแนกความแตกต่างในการทำงานหลัก ๆ ออกเป็น 2 ด้าน อันได้แก่ Automations ทำงานเมื่อเข้าเงื่อนไขของเวลา (Time based) Triggers ทำงานเมื่อเข้าเงื่อนไขของการกระทำที่เกิด (Action based) 1. Automations Automations ภายใน Zendesk Support นั้นใช้พื้นฐานของเวลาเป็นหลัก คุณสามารถใช้มันเมื่อคุณต้องการให้การกระทำบางอย่างเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติเมื่อเข้าเงื่อนไขของเวลาที่คุณได้กำหนดไว้ กล่าวคือ ให้ครบระยะเวลาที่กำหนดไว้ก่อนแล้ว automations ค่อยทำงาน สำหรับการออกแบบ Workflow ของระบบ Automations แบบง่าย ๆ แนะนำให้คุณทำการระบุข้อกำหนดด้านการบริการขององค์กรที่มีความเกี่ยวข้องกับเวลาโดยเฉพาะเจาะจงในขั้นตอนต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่น องค์กรของคุณต้องการให้ระบบทำการส่งแบบสำรวจความพึงพอใจไปให้ลูกค้าเมื่อครบ 24 ช.ม. ภายหลังจากการแก้ปัญหาให้ลูกค้าเรียบร้อยแล้ว และ Ticket นั้น ๆ ได้ถูก Solved แล้ว หรือในกรณีที่เจ้าหน้าที่รอการตอบกลับจากลูกค้านานเกิน 3 วัน ให้ระบบ Automations ทำการส่งอีเมลแจ้งเตือนไปยังลูกค้า เป็นต้น วิธีการตั้งค่าระบบ Automations ระบบ Automation ใน Zendesk Support จะมาด้วยการตั้งค่าเริ่มต้น หากต้องการปรับแต่งการตั้งค่าให้คลิกที่ไอคอน Admin ที่แถบด้านข้าง > เลื่อนไปที่หัวข้อ Business rules > คลิกที่ Automations เพื่อดูการตั้งค่า  2. Triggers Triggers ภายใน Zendesk Support นั้นใช้พื้นฐานของการกระทำที่เกิดขึ้นเป็นหลัก คุณสามารถใช้มันเมื่อคุณต้องการให้การกระทำบางอย่างเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติเมื่อเข้าเงื่อนไขของการกระทำหรือการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ที่คุณได้กำหนดไว้ กล่าวคือ ให้มีการกระทำหนึ่งเกิดขึ้นก่อนแล้ว triggers ค่อยทำงาน สำหรับการออกแบบ...

Continue reading

ภาพรวมฟีเจอร์ที่โดดเด่นของ Zendesk Chat

Zendesk Chat คือ ระบบไลฟ์แชทแพลตฟอร์ม (Live Chat platform) หรือพูดง่าย ๆ ก็คือกล่องแชทบนหน้าเว็บไซต์ที่จะทำให้คุณและผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ (Visitors) สามารถสื่อสารกันได้ในแบบเรียลไทม์ (real-time) อย่างรวดเร็ว รวมถึงสามารถติดตามความเคลื่อนไหวของลูกค้าทั้งหมดบนหน้าเว็บไซต์ของคุณได้ โดยในอดีตจะรู้จักกันดีในชื่อ “Zopim” และต่อมาได้ถูก Zendesk พัฒนาขึ้นเป็น Zendesk Chat ในที่สุด ซึ่ง Zendesk Chat จะมุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนผู้เข้าชมเว็บไซต์ให้เป็น Leads ด้วยการปฏิสัมพันธ์กับผู้เข้าชมผ่านทางไลฟ์แชทบนหน้าเว็บไซต์ นอกจากนี้ยังใช้เป็นช่องทางในการซัพพอร์ตลูกค้าบนหน้าเว็บไซต์ผ่านฟีเจอร์ที่โดดเด่น ดังต่อไปนี้ 1. ทริกเกอร์ (Triggers) กลไกส่งข้อความอัตโนมัติไปยังเป้าหมายที่ตั้งค่าไว้โดยอิงจากพฤติกรรมต่าง ๆ ของลูกค้า ช่วยให้ลูกค้ามีโอกาสซื้อสำเร็จได้ง่ายขึ้นจากการส่งข้อความผ่านทางแชทอัตโนมัติ Zendesk Chat triggers 2. แบบฟอร์มก่อนการแชทและแบบฟอร์มออฟไลน์ (Pre-chat forms) การใช้แบบฟอร์มก่อนการแชทเพื่อสอบถามข้อมูลการติดต่อจากผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ก่อนเริ่มต้นการแชทกับเอเจนต์ จะช่วยให้คุณสามารถแยกประเภทการติดต่อและจัดลำดับความสำคัญของคำขอรับการสนับสนุนของลูกค้าได้ นอกจากนี้ยังสามารถตั้งค่าเป็นแบบฟอร์มออฟไลน์เพื่อให้แน่ใจว่าลูกค้าจะสามารถติดต่อคุณได้แม้นอกเวลาทำการ และที่สำคัญ Pre-chat forms สามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการของคุณ Zendesk Chat pre-chat forms 3. รายชื่อผู้เยี่ยมชม (Visitor list) สามารถติดตามและตรวจสอบผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์รวมถึงหน้าเว็บที่พวกเขากำลังเรียกดูอยู่ วิธีนี้จะช่วยให้สามารถกำหนดเป้าหมายผู้ใช้ได้เฉพาะเจาะจงและให้การบริการได้ตรงจุดโดยการพุ่งเป้าไปยังผู้ใช้แต่ละรายและเสนอความช่วยเหลือได้เมื่อพวกเขาต้องการ สามารถเลือกให้โชว์ได้ 2 แบบ 3.1 List View Zendesk Chat visitor list view 3.2 Visual View Zendesk Chat visitor visual view นอกจากนี้ยังสามารถเลือกดูข้อมูลตามกลุ่มต่าง ๆ ได้ Zendesk Chat visitor group 4. การให้คะแนนการแชท (Chat ratings) ลูกค้าสามารถให้คะแนนความพึงพอใจในการติดต่อผ่านช่องทางการแชท ทำให้คุณสามารถรวบรวมคะแนนความคิดเห็นและนำไปปรับปรุงให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อไปได้ Zendesk Chat ratings 5. การส่งไฟล์...

Continue reading

มาดูกันว่า Harris Farm Markets ใช้ Zendesk ในการรับฟังและตอบกลับลูกค้าอย่างไร?

Customers /Year 11 Million Number of Full Time Agents 7 Employees 1,000 Customer Service Channels 4 Products Used Harris Farm Markets เป็นหนึ่งในเครือข่ายร้านขายของชำอิสระที่เติบโตเร็วที่สุดของออสเตรเลีย ด้วยร้านค้า 25 ร้าน และลูกค้า 11 ล้านคนในแต่ละปี รวมไปถึงธุรกิจค้าปลีกออนไลน์ที่เฟื่องฟู ทำให้บริษัทกำลังมองหาอนาคตและหัวใจของการเติบโตของบริษัท และสิ่งนั้นก็คือ “การได้รับความรักจากลูกค้า” Harris Farm Markets เป็นธุรกิจที่ดำเนินการโดยครอบครัว Harris ซึ่งเริ่มกิจการขึ้นในปี 1971 เมื่อ David และ Cathy Harris เปิดร้านแรกในวิลาวูดรัฐนิวเซาท์เวลส์ จนถึงปัจจุบันก็ยังคงดำเนินการอยู่โดยทั้งคู่ เป็นเวลามากกว่า 40 ปีที่ Harris Farm Markets ได้ส่งมอบผลผลิตสดใหม่ให้กับครอบครัวชาวออสเตรเลียด้วยคุณค่าและความเชื่อหลัก ๆ ที่ว่า ครอบครัวชาวออสเตรเลียควรมีผลิตภัณฑ์ที่สดใหม่และดีที่สุด สำหรับพวกเขา Harris Farm Markets เป็นบ้านของพนักงานมากกว่า 1,000 คน ที่ตั้งใจทำงานเพื่อส่งมอบผลผลิตที่ดีให้กับลูกค้า 11 ล้านคน ที่เดินผ่านประตูเข้ามาในแต่ละปี ด้วยความมุ่งมั่นที่จะทำให้ลูกค้าชาวออสเตรเลียสามารถเลี้ยงครอบครัวด้วยอาหารรสชาติดี สดใหม่ และสะอาด คือสาเหตุที่ทำให้ลูกค้าเข้ามาอุดหนุนเลือกซื้อสินค้าจนถึงทุกวันนี้ “เราต้องการรับฟังลูกค้าเมื่อลูกค้าพูดกับเรา และเราเลือกใช้ Zendesk Support เพื่อการเป็นบริษัทที่ให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นหลักและดำเนินการในระดับท้องถิ่น ไม่ใช่แค่ผ่านสำนักงานใหญ่ของเราเพียงที่เดียว และเมื่อเราทบทวนกลยุทธ์ในระยะยาวของเรา เราตัดสินใจว่าเราต้องการได้รับความรักจากลูกค้าของเรา ดังนั้นประสบการณ์ของลูกค้าและการบริการจึงกลายเป็นปัจจัยผลักดันสำหรับธุรกิจของเรา และเพื่อที่จะได้รับความรักนั้น เราต้องเรียนรู้ถึงการปฏิสัมพันธ์ที่จะนำไปสู่ความสุขของลูกค้า” – James Kerridge (online operations manager) กล่าว Kerridge อธิบายต่อว่า Harris Farm Markets มีช่องทางการให้บริการลูกค้าอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งช่องทางเหล่านั้นเดินทางไปยังสถานที่ที่แตกต่างกัน นอกเหนือจากร้านค้าหลายแห่งในนิวเซาธ์เวลส์แล้ว บริษัทยังมีศูนย์การติดต่อซึ่งตั้งอยู่ในสำนักงานใหญ่ซึ่งใช้ทั้งการโทรติดต่อ อีเมล...

Continue reading