หากว่าคุณเป็นหนึ่งในคนทำธุรกิจที่มี Pain Points เหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็น ติดตามการทำงานของฝ่ายขายยาก ไม่รู้ว่ารับเรื่องลูกค้าถึงไหนแล้ว ประมาณการณ์ยอดขายให้แม่นยำไม่ได้ เพราะข้อมูลกระจัดกระจายกันไปหมด ข้อมูลลูกค้าสะเปะสะปะ ไม่เป็นที่เป็นทาง จะดู Sales Pipeline ก็ยาก คุณหันไปปรึกษาคุยงานกับฝ่ายขาย แต่แล้วก็พบว่าทางฝ่ายขายเองก็ประสบปัญหา มี Pain Points ยาวเหยียดไม่ต่างกัน ลูกค้าเข้ามาหลายช่องทาง กว่าจะบันทึกข้อมูลลงเครื่องก็แสนจะยุ่งยาก ไม่มีเครื่องมือช่วยที่แน่นอน บริหารจัดการไม่ได้ ประสานงานกันไม่ดี ไม่รู้ Sales Stage หรือ Customer Journey ว่าลูกค้าติดต่อผ่านใครมาก่อนบ้างแล้ว วัดผลการทำงานยาก ประเมินยอดขายก็ยาก เพราะไม่มีเครื่องมือช่วยวิเคราะห์ทำรายงาน ในทุก Pain Points แทบจะมีคำว่า ‘ยาก’ อยู่เต็มไปหมด ดูเผิน ๆ อาจจะถูกมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ทราบหรือไม่อะไรที่เหมือนเล็กน้อยแบบนี้เองที่ทำให้การทำงานขาดความเป็นระบบ ไม่เป็นมืออาชีพ และยังตัดโอกาสล่มดีลจนสูญเสียยอดขายที่ควรจะได้อีกด้วย ดังนั้นในบทความนี้ เราจะมาทำความรู้จัก Zendesk Sell ซอฟต์แวร์ Sales CRM ช่วยบริหารจัดการงานขายแบบครบวงจร มีชื่อเสียงเลื่องลือเรื่องดีไซน์เรียบง่ายแต่ฟังก์ชันครบครัน ให้การบริหารงานขายของคุณง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยกัน 01 ไม่พลาดทุกการติดต่อ ระบบอีเมลอัจฉริยะ แจ้งเตือนแบบพุชเรียลไทม์ให้คุณติดต่อลูกค้ากลับได้ถูกเวลา เก็บทุกข้อมูลเหตุการณ์ลงใน Zendesk Sell ทันทีไม่ว่าลูกค้าจะส่งข้อความจากอีเมลหรือช่องทางอื่นที่เชื่อมกับ Zendesk Sell มาพร้อมระบบที่จะช่วยจัดเก็บเอกสารหรือการติดต่อทุกอย่าง ให้คุณนำข้อมูลมาหาแนวทางในการเพิ่มยอดขายให้บริษัทได้ รวมถึงสร้าง Template อีเมลแบบไร้ข้อจำกัด ลดเวลาการทำงานซับซ้อนที่ไม่จำเป็น 02 ต่อสายตรงหาลูกค้าในไม่กี่คลิก ระบบโทรสายที่จะทำให้ชีวิตของฝ่ายขายง่ายขึ้น ต่อสายหาลูกค้าง่าย ๆ ในไม่กี่คลิก เก็บรวบรวมทุกประวัติการโทรและบันทึกทุกอย่างที่คุณได้พูดคุยกับลูกค้าไว้อย่างละเอียดไม่มีตกหล่น จะนำข้อมูลมาอ้างอิงในภายหลังหรือนำมาจุดบกพร่องเพื่อพัฒนาตนเองก็สามารถทำได้ พร้อม Call Analytics ที่ช่วยออกรายงานเป็นผลการชี้วัดให้อย่างทันท่วงที 03 อยู่ที่ไหนก็เชื่อมถึงกันได้ ตอบโจทย์วิถีชีวิต New Normal เพราะระบบของ Zendesk Sell สามารถซิงค์ได้ทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างแอปพลิเคชัน Zendesk ไว้ใช้ในองค์กร เชื่อมต่อกับเครื่องมืออื่น...
Continue reading4 วิธีเข้าร่วมประชุมออนไลน์ใน Google Meet ครบทุกช่องทาง
1. เข้าผ่านเบราว์เซอร์และแอปพลิเคชัน Google Meet วิธีเข้าร่วมประชุมออนไลน์ใน Google Meet วิธีแรกเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด โดยคุณสามารถเข้าผ่านเว็บเบราว์เซอร์ meet.google.com ได้โดยตรงหรือเข้าผ่านทางแอปพลิเคชัน Google Meet ที่สามารถดาวน์โหลดได้ทั้ง Android และ IOS ซึ่งคุณสามารถสร้างการประชุมขึ้นเองหรือเข้าร่วมประชุมในหน้านี้ได้ทันที 2. เข้าผ่าน Gmail หากคุณใช้ Gmail ในการรับส่งอีเมลเป็นประจำอยู่แล้ว Google Meet ได้รวมอยู่ในหน้า Gmail ของคุณเรียบร้อย เพียงแค่มองไปยังแถบด้านซ้ายของจอ จะพบกับแถบ Google Meet ที่มี New Meeting และ My Meeting โดยที่คุณสามารถสร้างหรือเข้าร่วมการประชุมออนไลน์ได้เหมือนเข้าเว็บเบราว์เซอร์ อีกทั้งยังมีรายละเอียดในวันประชุมนั้น ๆ ว่ามีกี่การประชุม และใครบ้างที่เข้าร่วม เพื่อรองรับการใช้งานได้อย่างตอบโจทย์ ในแอปพลิเคชัน Gmail ได้รวม Google Meet ไว้ในแอปเดียวกัน ถ้าหากไม่มีแอป Google Meet คุณก็สามารถเข้าร่วมการประชุมออนไลน์ได้โดยที่ไม่ต้องดาวน์โหลดแอปเพิ่ม 3. เข้าผ่าน Calendar อีกหนึ่งวิธียอดฮิตนั่นก็คือ การเข้าร่วมประชุมออนไลน์ผ่าน Google Calendar โดยส่วนใหญ่องค์กรมักจะใช้เพื่อนัดหมายการประชุม โดยวิธีนี้เป็นวิธีที่สามารถดูตารางการประชุมหรือสร้างนัดหมายไม่ให้ชนกับคนอื่น ๆ ได้และสามารถส่งคำเชิญการประชุมออนไลน์ผ่านอีเมลของทุก ๆ คน ซึ่งกดเพียงแค่คลิกเดียวก็สามารถเข้าร่วมการประชุมออนไลน์ได้เลย 4. ไม่มีแอปหรืออินเทอร์เน็ตก็เข้าผ่านการโทรด้วยระบบ Dial-in ระบบ Dial-in เป็นการโทรเข้าที่ประชุมออนไลน์ คนที่ใช้บัญชี Google Workspace เท่านั้นที่จะสามารถสร้างการประชุมออนไลน์แบบให้มีการโทร Dial-in ได้ แต่คนที่เข้าร่วมสามารถเป็นบัญชีทั่วไปหรือบัญชี Google Workspace ก็ได้ โดยหมายเลขโทรศัพท์และ PIN จะอยู่ในนัดหมาย Calendar หรือคำเชิญในอีเมล ทั้ง 4 วิธีนี้จะช่วยให้คุณสามารถเข้าร่วมการประชุมออนไลน์ใน Google Meet ทุกช่องงานได้ง่าย ๆ เพราะทุกการใช้งาน Google...
Continue reading5 เคล็ดลับ อยากมี Live Chat บนเว็บไซต์ต้องทำอย่างไร?
– ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับ Live Chat กันก่อน – Live Chat คือ เครื่องมือสื่อสารทางออนไลน์รูปแบบหนึ่งที่สามารถเพิ่มลงบนหน้าเว็บไซต์ของคุณ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ที่เข้าชมเว็บไซต์ หรือร้านค้าต่าง ๆ บนช่องทางออนไลน์สามารถมีส่วนร่วมกับบริษัทของคุณได้ ไม่ว่าจะเป็น การถาม-ตอบ ในเวลาที่ลูกค้าต้องการความช่วยเหลือ หรือมีข้อสงสัยที่ต้องการข้อมูลคำตอบจากคุณ หรือจะเป็นการสอบถามว่าลูกค้าพบเจอปัญหาอะไรไหม มีอะไรให้ช่วยไหมนั่นเอง และผลวิจัยจาก Zendesk ผู้นำทางด้าน Customer Service Software พบว่า ลูกค้าที่ Live Chat มาหาร้านค้ามีโอกาสซื้อสินค้ามากกว่าลูกค้าที่ไม่แชทเข้ามาถึง 3 เท่า ดังนั้นหากคุณเป็นร้านค้าที่ยังไม่มีช่องทาง Live Chat ให้กับลูกค้าของคุณ ต้องห้ามพลาด! วันนี้เรามีเคล็ดลับจากผู้เชี่ยวชาญที่จะนำมาบอกวิธีเตรียมตัวเพื่อเพิ่มช่องทาง Live Chat มาแนะนำ ต้องแอคทีฟที่จะช่วยซัพพอร์ตลูกค้า หรือ ใช้ซัพพอร์ตลูกค้าในเชิงรุก สำหรับธุรกิจส่วนใหญ่การซัพพอร์ตลูกค้า เป็นกระบวนการที่เอาไว้ตอบสนองเมื่อลูกค้าพบปัญหาเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการของเรา และพวกเขาจะติดต่อมาเพื่อขอวิธีแก้ปัญหา และทางร้านค้าก็ตอบกลับไป แต่การ Live Chat สามารถทำงานย้อนกลับได้ แทนที่จะรอให้ลูกค้าติดต่อมาเมื่อเจอปัญหา คุณสามารถให้ความช่วยเหลือก่อนได้ เพื่อสร้างความประทับใจ ความห่วงใย และประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ค้นหาว่าลูกค้าของคุณอยู่ที่ไหน ไม่ว่าจะเป็น Website, Social Media หรือช่องทางแชทอื่น ๆ ที่ช่วยให้สนทนากันระหว่างร้านค้ากับลูกค้าอย่างรวดเร็วเป็นที่นิยมมาก และส่งผลให้เปลี่ยนพฤติกรรมในการสื่อสารของคนในปัจจุบันไป เพราะเป็นการสื่อสารที่สะดวก ง่าย และที่สำคัญประหยัดกว่าการโทรศัพท์ เพราะไม่ว่าคุณจะอยู่ที่มุมไหนของโลกก็สามารถสื่อสารกันได้ ไม่ต้องมีค่าพื้นที่ต่างประเทศ ดังนั้นจึงยิ่งเหมาะกับธุรกิจในการช่วยลดต้นทุนอีกด้วย เพิ่มความยืดหยุ่นในการสื่อสาร และ โฟกัสที่ความต้องการของลูกค้า หากคุณมีพนักงานที่คอยดูแลและพูดคุยกับลูกค้าหลายคน ก็อาจจะทำให้เจอปัญหาเวลาที่คนนึงคุยกับลูกค้าค้างไว้ แล้วจะให้พนักงานคนอื่นมาตอบแทนก็อาจจะทำให้เกิดความสับสนหรือความผิดพลาดเกิดขึ้นได้ ดังนั้นคุณควรจะหา Platform ที่สามารถเก็บ และบันทึกข้อมูลของลูกค้าได้แบบ Real-time ไม่ว่าใครจะมาตอบก็สามารถเห็นข้อมูลที่คุยกันไว้ หรือข้อมูลที่คนก่อนคุยไว้ได้อย่างง่ายดาย เพิ่มความยืดหยุ่นในการทำงาน แล้วเอาเวลาที่เราต้องมานั่งถามข้อมูลลูกค้าใหม่ทุกรอบมาโฟกัสที่ความต้องการของลูกค้าจริง ๆ เลือกหาตำแหน่งที่เหมาะสมให้กับเว็บไซต์ของคุณ การเลือกตำแหน่งช่องทาง Live Chat ก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน เพราะถ้าลูกค้าต้องการที่จะขอความช่วยเหลือ เขาควรที่จะติดต่อเรามาได้ง่ายดายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และยังเป็นเพิ่มโอกาสในการที่ลูกค้าจะแชทมาหาทางทีมซัพพอร์ตได้ง่ายขึ้น และเพื่อเพิ่มการขายได้อีกด้วย ตั้งเป้าหมายการมี...
Continue readingเจาะลึก วิธีการดูอีเมลปลอมของมิจฉาชีพ by Demeter ICT
ในยุคปัจจุบันปฎิเสธไม่ได้เลยว่าผู้คนส่วนใหญ่ใช้อีเมลเพื่อการทำงานหรือรับส่งเอกสารที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นด้านธุรกรรมหรือเอกสารลับต่าง ๆ แล้วเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเรานั้นไม่ได้กำลังถูกหลอกหรือได้รับอีเมลปลอมที่แฝงมาจากมิจฉาชีพ วันนี้เรามีวิธีระวังอีเมลปลอมจากมิจฉาชีพ ซึ่งมีวิธีสังเกตอยู่ 5 ขั้นตอนด้วยกัน และจะช่วยให้ผู้ใช้งานอีเมลสามารถตรวจสอบตัวตนจากผู้ส่งต้นทางว่ามีความน่าเชื่อถือ มีความปลอดภัยหรือไม่ 1. ตรวจสอบข้อมูลที่แสดงตัวตนในอีเมล ตรวจสอบชื่ออีเมลของผู้ส่งรวมถึงดูในส่วนของ Email Address ด้วยว่าตรงกับก่อนหน้านี้ที่เราเคยติดต่อหรือไม่ ตรวจสอบลายเซ็นต์ (Signature) ว่ามีใส่ข้อมูลที่ถูกต้องหรือตรงตามเดิมหรือไม่ และมีข้อมูลแสดงความเป็นเจ้าของอีเมลมากน้อยเพียงใด เช่น ชื่อ ตำแหน่ง เบอร์ติดต่อ ชื่อบริษัท ฯลฯ โดยส่วนใหญ่แล้วอีเมลที่ปลอมแปลงมามักจะใส่ข้อมูลไม่ครบถ้วน หรืออาจจะไม่ใส่อะไรเลย ตรวจสอบเนื้อหาของอีเมล ในส่วนนี้อาจจะพิจารณาตามเนื้อหาที่เจอ เนื้อหาจะต้องไม่เป็นการพยายามล้วงเอาข้อมูลผู้ใช้งานหรือมีลิงก์ให้กดเพื่อเข้าไปกรอกข้อมูลหรือยอมรับให้เชื่อมต่อกับบัญชีของเรา ทั้งนี้อาจจะพิจารณาไปถึงไฟล์ที่แนบมาในอีเมลด้วย หากพบไฟล์นามสกุลแปลก ๆ ที่เราไม่เคยเจอให้งดการกดดาวน์โหลดหรือพรีวิวไปก่อน แล้วทำการตรวจสอบกับผู้ส่งให้แน่ใจว่าได้ส่งไฟล์ชนิดนั้นมาให้เราเสมอ หากพบความผิดปกติจากข้อมูลที่ทำการตรวจสอบทั้ง 3 ข้อที่กล่าวมาก็อย่าพึ่งใจร้อนกด Report spam กันทันที ให้ลองรีเช็คเพิ่มเติมในข้อถัดไปกันก่อน 2. ตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกของอีเมล เพื่อความชัวร์เราลองมาทำการเช็คอีเมลในระดับที่ Advance ขึ้นกว่าเดิมนิดนึง เพื่อการตรวจสอบที่ถูกต้อง สิ่งที่เราต้องตรวจสอบกันเพิ่มมีดังนี้ ก่อนอื่นให้ลองเช็คอีเมลก่อนว่าคุณสามารถกดแสดงข้อมูลรายละเอียดของอีเมลตามภาพ Email Information ที่อยู่ด้านบนได้หรือไม่ สำหรับ Gmail นั้น สามารถกดดูได้จากปุ่ม Show Details ในอีเมลฉบับนั้น ๆ ได้เลย ส่วนระบบอื่น ๆ อาจจะลองสอบถาม Provider ที่ให้บริการอีกครั้ง Mailed-by: ข้อนี้จะเป็นที่บอกเราว่าอีเมลนี้ส่งออกมาจากที่ใด โดยให้สังเกตจากชื่อที่ปรากฏจะสอดคล้องกับชื่อ @Domain ของผู้ส่ง เช่น ในภาพด้านบนจะเห็นชื่อผู้ส่งเป็น @gmail.com ในส่วนของ Mailed-by ก็จะเป็น gmail.com เป็นต้น ในกรณีที่ไม่ตรงกันอาจจะต้องสอบถามไปที่ต้นทางเพื่อยืนยันแหล่งที่มาอีเมลอ้างอิงที่ปรากฏนั้นอีกที Signed-by: ข้อนี้จะบ่งบอกถึงว่าอีเมลฉบับนี้มีการรับรองจากองค์กรนั้นหรือไม่ เช่น ถ้าหากเป็นอีเมลขององค์กร ในส่วนนี้ก็จะปรากฏเป็นชื่อ @Domain แบบเดียวกันกับชื่อผู้ส่ง แต่หากองค์กรใหนไม่ขึ้นในส่วนนี้ผู้รับสามารถแจ้งให้ต้นทางเพิ่มการรับรองนี้ได้ โดยต้นทางจะไปทำการเพิ่ม DKIM Record ในระบบอีเมลเพิ่มเติม Encryption data: ข้อนี้จะแจ้งให้ทราบว่าอีเมลฉบับนี้มีการเข้ารหัสข้อมูลมาหรือไม่ ซึ่งหากอีเมลไหนไม่ได้เข้ารหัสมาก็มีโอกาสสูงที่จะถูก Hack...
Continue reading5 วิธีสร้างกลยุทธ์การขายแบบ Step-By-Step ง่าย ๆ แต่ผลลัพธ์ปัง
กว่าวิศวกรจะสร้างตึกให้มั่นคงได้ต้องมีแบบแปลนที่ดีเสียก่อนฉันท์ใด การจะสร้างยอดขายให้ประสบความสำเร็จได้ก็ต้องรู้จักใช้กลยุทธ์การขายฉันท์นั้น ในบทความนี้ เราจะมาดูวิธีสร้างกลยุทธ์การขาย ให้คุณนำไปประยุกต์ทำเองได้จาก Zendesk กัน – กลยุทธ์การขายคืออะไร – กลยุทธ์การขาย (Sales Strategy) คือ การวางแผนที่จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเพื่อขายสินค้า ตลอดจนยอดขายที่ตั้งเป้าเอาไว้และรายละเอียดการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ การมีกลยุทธ์การขายช่วยให้ฝ่ายขายมีกำหนดหมายงานที่ชัดเจน และมีวิสัยถึงสิ่งที่ตนต้องทำในระยะยาว ดังนั้นการสร้างกลยุทธ์การขายเองควรจะทำอย่างครอบคลุม มีการค้นคว้าอย่างถ่องแท้ และสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง เรามาดูวิธีสร้างกลยุทธ์การขายกัน 1. ระบุยอดเป้าหมาย หากจะขายสินค้าให้ได้ผลตอบรับดี ก่อนอื่นก็ต้องตั้งเป้าหมายให้มั่นคงเสียก่อน โดยเริ่มจากวิธีดังนี้ ประเมินสินทรัพย์ขององค์กรว่าจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรใดเพิ่มเติมหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นบุคลากร หรืออาจจะเป็นเครื่องมือต่าง ๆ อย่างซอฟต์แวร์ CRM ที่ช่วยบริหารจัดการ Sales Pipeline ให้ดีขึ้น ทำให้มั่นใจว่าทุกองค์ประกอบมีครบก่อนวางแผน ทบทวนข้อมูลประวัติการขายของลูกค้า ใช้ข้อมูลนี้ตั้งเป้าหมายที่อยู่ในขอบเขตที่จะทำได้ ใช้ S.M.A.R.T. โมเดลเข้าช่วยในการตั้งเป้าหมาย ตัวอย่างเช่น “เพิ่มขนาดดีล 35%” หรือ “บรรลุยอดขาย 1 ล้านในปีนี้” เป็นต้น 2. สำรวจตลาดให้ดี การทำความเข้าใจเรื่องมูลค่าแบรนด์ในตลาดถือเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก หากไม่รู้ว่าแบรนด์ของคุณจะช่วยมอบคุณค่าใดให้กับผู้ซื้อได้บ้าง ก็เป็นการยากที่จะจูงใจลูกค้าให้ซื้อสินค้าหรือบริการของคุณ หนึ่งในวิธียอดนิยมที่มักใช้วิเคราะห์ตลาด ก็คือ SWOT Analysis SWOT Analysis ประกอบด้วยการวิเคราะห์จุดแข็ง (Strengths) จุดอ่อน (Weaknesses) โอกาส (Opportunities) และภัยคุกคาม (Threats) ลองตั้งคำถามว่าสินค้าของคุณตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายที่ตั้งไว้จริง ๆ หรือไม่? Value Preposition ที่มีคืออะไร? อะไรที่เป็นอุปสรรคทั้งภายนอกภายในที่อาจทำให้ล้มเหลว? การวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้คุณเข้าใจภาพรวมมากขึ้น และเป็นการทบทวนถึงโอกาสการขายให้ดีขึ้นกว่าเดิม 3. สร้าง Customer Personas เมื่อเข้าใจเรื่องตลาดเป้าหมายแล้ว สิ่งต่อไปที่ต้องทำก็คือทำความเข้าใจลูกค้าในอุดมคติที่จะซื้อสินค้าเรา ในที่นี้สามารถทำได้โดยการสร้าง Buyer Persona เริ่มจากการแบ่งกลุ่มเป็น segment ต่าง ๆ และใส่ข้อมูลเพิ่มเติมไปในหัวข้อดังนี้ จำลองชื่อและตำแหน่ง เช่น “Dana Matthews, CPA” จำลองว่าอยู่อุตสาหกรรมไหน...
Continue readingGoogle Workspace เครื่องมือที่ตอบโจทย์การทำงานในยุค 2021
จากสถานการณ์ที่ผ่านมา เรียกได้ว่ามีหลายสิ่งเข้ามาทำให้องค์กรต้องปรับเปลี่ยนหรือประยุกต์วิธีการทำงานใหม่เพื่อให้อยู่รอดและสอดคล้องต่อสถานการณ์นั้น ๆ อย่างการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีและการ Work From Home ในปีที่ผ่านมา เห็นได้ชัดว่าเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้หลายองค์กรนั้นต้องปรับตัว ซึ่ง Google Workspace เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่สามารถตอบโจทย์การทำงานในยุค 2021 และสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม Google Workspace ตอบโจทย์อย่างไร รวมเครื่องมือการทำงานไว้ในที่เดียวกัน Google Workspace ได้ออกแบบการใช้งานให้ง่ายและสะดวกต่อการใช้งานเครื่องมืออื่น ๆ โดยรวมอยู่ในหน้าเดียวกัน เมื่อคุณใช้งาน Gmail ในการรับส่งอีเมล คุณจะสามารถแชทเพื่อคุยงานกับเพื่อนร่วมงานและประชุมออนไลน์ได้ โดยใช้ Google Chat และ Google Meet ที่อยู่ในหน้าเดียวกันนั่นเอง รวมถึงในแอปพลิเคชันก็ออกแบบมาให้ใช้งานโดยที่ดาวน์โหลดแค่ Gmail คุณก็เข้าถึงทั้ง Google Chat และ Google Meet ระบบ Cloud ทำงานร่วมกันได้ทุกที่ อีเมล ข้อมูล ไฟล์เอกสาร ทั้งหมดจะถูกจัดเก็บไว้บน Cloud โดยอัตโนมัติ ไม่ว่าคุณจะเข้าด้วยอุปกรณ์ไหน ข้อมูลยังคงเดิมและไม่มีวันหาย รวมถึงไม่เปลืองพื้นที่ในอุปกรณ์ของคุณ เมื่อต้องทำงานร่วมกันสามารถเข้าถึงไฟล์ใน Drive ได้เลยทันที และเมื่อต้องสร้างเอกสาร Docs, Sheets, Slides ก็เป็นเครื่องมือที่คุณจะสามารถเข้าไปสร้างเอกสารร่วมกันได้สูงสุด 100 คน แบบเรียลไทม์ ความปลอดภัยสูงสุดความปลอดภัยมาตรฐานระดับเดียวกับ Google ไม่มีปัญหา Server ล่ม ป้องกันการโดนแฮ็ก และไม่มีไวรัส ข้อมูลสูญหายสามารถตรวจสอบและกู้คืนได้ Google Workspace เพื่อการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ บริษัท ดีมีเตอร์ ไอซีที จำกัด ตัวแทนจำหน่าย Google Workspace ในประเทศไทย อย่างเป็นทางการ แพ็กเกจและราคา Google Workspace 02-030-0066...
เเนะนำเครื่องมือ E-Commerce บน WeChat
WeChat เป็นแอปที่ชาวจีนส่วนใหญ่ใช้ในชีวิตประจำวันมีผู้ใช้งานมากกว่า1.2 พันล้านคนต่อเดือน ซึ่งมีผู้ใช้งานบัญชีWeChat Official Account 20 ล้านบัญชี มีมากกว่า 1 ล้านบัญชีใช้ WeChat Mini Program เเละมีผู้ใช้งาน WeChat Mini Program ต่อวันประมาณ 400 ล้านคน ในปี 2020 มีผู้ใช้งานเป็นผู้ชาย 53% และ เป็นผู้หญิง 47% Tencent ยังคงก้าวเข้าสู่อีคอมเมิร์ซอย่างต่อเนื่อง ด้วยคุณสมบัติการค้นหาและการตลาดใหม่ ๆ โดยมีจุดประสงค์เพื่อช่วยให้แบรนด์ต่างๆเข้าถึงผู้บริโภคบนแอปพลิเคชั่น WeChat WeChat คืออะไร? WeChat เป็นแอปส่งข้อความที่ให้บริการส่งข้อความ ส่งข้อความเสียง การส่งโฆษณา (แบบหนึ่งต่อหลายคน) การสนทนาทางวิดีโอ การประชุม วิดีโอเกม การแบ่งปันภาพถ่ายตลอดจนการแชร์ตำแหน่งที่ตั้ง นอกจากนี้ยังเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอีกด้วย นั้นก็คือ WeChat Moment ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถโพสต์รูปภาพ ข้อความ และวิดีโอสั้น ๆ ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ใช้สามารถแชร์ และเข้าถึงข้อมูลเพื่อนใน WeChat ได้ เครื่องมือ WeChat พื้นฐาน บัญชี WeChat Official Account WeChat เป็นเครื่องมือสำคัญในการทำธุรกิจกับจีน ในความเป็นจริงมันเปิดโอกาสให้ บริษัทต่างๆเปิดบัญชี WeChat Official Account เพื่อให้เเบรนด์เข้าถึงเเละตอบโตผู้ติดตามซึ่งเป็นบริการ “แบบตัวต่อตัว” โดยยการส่งข้อความ เเละโปรโมชั่นโดยตรง แต่การเปิดบัญชี WeChat Official Account ไม่ใช่เรื่องง่าย ในความเป็นจริงจำเป็นต้องมีเอกสารรับรองหลายชุดรวมถึงใบอนุญาตประกอบธุรกิจ ซึ่งกระบวนการนี้ใช้เวลาการเปิดประมาณ 1-2 อาทิตย์ แบรนด์ต่างประเทศต้องลงทะเบียนสร้างบัญชี WeChat Official Account เพื่อทำให้ถูกต้องเเละดูน่าเชื่อถือในสายตาของผู้บริโภคชาวจีน นอกจากนี้เเล้วบัญชี WeChat Official Account ยังสามารถเเจ้งเตือนเมื่อมีลูกค้าทักเข้ามา ระบุตำเเหน่งของผู้ใช้งาน เเละสามารถสเเกน QR Code...
Continue readingเจาะลึก Customer Experience คืออะไร?
Customer Experience (CX) คือ ประสบการณ์ของลูกค้า แต่ถ้าจะขยายความในเชิงลึกก็หมายถึง ประสบการณ์ที่ลูกค้าได้พบเจอกับร้านค้าต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสินค้า การบริการ อาจจะได้รับประสบการณ์ที่ดี หรือไม่ดีก็ได้ขึ้นอยู่กับร้านค้านั้นๆ ซึ่งมันก็จะส่งผลโดยตรงต่อการตัดสินใจในการบริโภคของลูกค้าในการซื้อสินค้าและบริการต่อๆไปในอนาคต เมื่อพูดถึงการทำธุรกิจลูกค้าหรือผู้บริโภค เป็นสิ่งที่เราควรให้ความสำคัญที่สุด เพราะพวกเขาเป็นผู้ที่ให้ผลตอบแทน และสร้างผลกำไร เพื่อให้ธุรกิจของเราเติบโตและพัฒนาต่อไปได้ ดังนั้นการที่เรารู้ถึง Customer Experience ที่ลูกค้าเคยพบเจอ รวมไปถึงรู้ความต้องการที่แท้จริงของลูกค้าได้นั้น ก็จะช่วยการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า รวมไปถึงอาจจะสร้างความภักดีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty) ซึ่งก็เป็นผลประโยชน์ที่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายไม่ว่าจะร้านค้าและลูกค้า เพราะลูกค้าก็คงได้รับประสบการณ์ที่ดีจากร้านค้า ส่วนร้านค้าก็ได้รับลตอบแทนจากลูกค้า และก็คงไม่มีธุรกิจไหนที่อยากสร้างประสบการณ์ที่แย่ให้กับลูกค้าอยู่แล้ว ซึ่งจริงๆแล้วการที่ร้านค้าจะมอบ Customer Experience ที่ดีให้กับลูกค้ามันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรนัก เพียงแค่คุณนึกว่าตัวเองเป็นลูกค้าหรือผู้บริโภคดูว่า ถ้าคุณเป็นเหมือนกับเขาคุณต้องการอะไรบ้าง เช่น สินค้าที่มีคุณภาพเหมาะสมกับราคา การบริการที่ดีและเอาใจใส่อยู่เสมอตั้งแต่ต้นจนจบ การบริการที่ดีมันมีอยู่หลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น การบริการและแก้ปัญหาที่รวดเร็ว, มีหลายช่องทางที่รองรับการติดต่อที่ลูกค้าสะดวก, แก้ปัญหาของลูกค้าได้อย่างตรงจุด และอื่น ๆ อีกมากมาย หากคุณทำแค่ร้านเล็กๆ มันก็อาจจะดูแลง่าย ทำคนเดียวได้ ปัญหาก็อาจจะไม่มากนัก แต่ถ้าหากคุณต้องการที่จะเติบโตและขยายธุรกิจให้กว้างขึ้น มันอาจจะไม่ได้ง่ายเหมือนที่คุณคิด มันอาจจะเจอปัญหาที่มากขึ้นตามไปด้วย เพราะฉะนั้นคุณควรเลือกใช้กระบวนการทำงานที่มีประสิทธิภาพเพื่อพร้อมสำหรับการขยายธุรกิจไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ โดยคุณควรมองหาเครื่องมือหรือตัวช่วยที่มาปรับกระบวนการทำงานให้ง่าย รวดเร็ว แล้วยังเป็นเครื่องมือที่บริษัทหลายๆบริษัททั้งในไทยและต่างประเทศใช้กันอย่างแพร่หลายนั่นก็คือ Zendesk Zendesk คือ Customer Service Software ที่จะช่วยปรับหรืออัพเกรดการบริการของลูกค้าของคุณให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเรื่องการรวบรวมช่องทางการติดต่อของลูกค้า (Omnichannel), การบันทึกประวัติหรือข้อมูลของลูกค้าทั้งหมด, สามารถบริการลูกค้าอย่างมืออาชีพที่ไหนก็ได้, และยังสามารถส่งต่องานให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องโดยตรงได้อย่างรวดเร็ว และยังมีฟีเจอร์อื่น ๆ อีกมากมาย ดูรายละเอียดเพิ่มเติม คลิกเลย ทดลองใช้ Zendesk trial ฟรี สอบถาม ราคา Zendesk ติดต่อบริษัท ดีมีเตอร์ ไอซีที จำกัด ผู้ให้บริการระบบ Zendesk ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ – Zendesk Thailand Partner สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ราคา Zendesk พร้อมโปรโมชันพิเศษ โทร. 02-030-0066 096-804-5482 (คุณยิ่ว), 097-187-7302 (คุณเล็ก), 092-262-0475...
Continue readingBitkub ลงทุนใช้ Zendesk ซอฟต์แวร์ในการดูแลลูกค้า24ชั่วโมง!
Bitkub ลงทุนใช้ Zendesk ซอฟต์แวร์ ในการดูแลลูกค้า 24 ชั่วโมง! คุณพบปัญหาแบบนี้หรือเปล่า? Pain points Pain point ลูกค้า เจ้าหน้าที่ตอบช้า เจ้าหน้าที่บริการไม่เป็นมิตร ต้องเล่าปัญหาเดิมซ้ำๆ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ ไม่มีบันทึกประวัติลูกค้า ทำให้เราต้องเล่าปัญหาใหม่ทุกครั้ง เจ้าหน้าที่ตอบคำถามไม่ได้ Agent , เจ้าหน้าที่ ไม่มีข้อมูลลูกค้า ไม่มีข้อมูลประวัติการติดต่อ ทำให้ต้องตอบเรื่องเดิมซ้ำๆ ทำงานหลายหน้าต่าง ทำงานซ้ำซ้อน เช่น ลูกค้าคนเดียวกัน ทักหาเพื่อถามคำถามเดิมจากหลายช่องทางออนไลน์ เจ้าหน้าที่ตอบคำถามไม่ได้ เพราะไม่มีข้อมูลในการตอบคำถาม ใช้เวลาตอบคำถามนาน ทำให้บริการลูกค้าช้า ธุรกิจ ไม่รู้ว่าลูกค้าได้รับบริการครบถ้วนไหม ไม่รู้จำนวนเคสที่เข้ามา ไม่รู้จำนวนเคสที่แก้ไขแล้ว หรือ ที่ยังไม่ได้แก้ ไม่รู้ระยะเวลาที่ใช้แก้แต่ละเคส ไม่รู้ว่าตอนนี้ปัญหา อยู่ที่เจ้าหน้าที่คนไหน ไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่ ทำงานมีคุณภาพแค่ไหน ต้องการลดต้นทุนการให้บริการ ที่มาจากช่องทางโทรศัพท์ ต้องการ Support ลูกค้าจำนวนมาก พนักงานเยอะ ต้องการ Support ภายใน ลูกค้า เจ้าหน้าที่ตอบช้า เจ้าหน้าที่บริการไม่เป็นมิตร ต้องเล่าปัญหาเดิมซ้ำๆ ไม่ว่าช่องทางเดิม หรือช่องทางใหม่ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ ไม่มีบันทึกประวัติลูกค้า ทำให้เราต้องเล่าปัญหาใหม่ทุกครั้ง เจ้าหน้าที่ตอบคำถามไม่ได้ Agent , เจ้าหน้าที่ ไม่มีข้อมูลลูกค้า ไม่มีข้อมูลประวัติการติดต่อ ทำให้ต้องตอบเรื่องเดิมซ้ำๆ ทำงานหลายหน้าต่าง ทำงานซ้ำซ้อน เช่น ลูกค้าคนเดียวกัน ทักหาเพื่อถามคำถามเดิมจากหลายช่องทางออนไลน์ เจ้าหน้าที่ตอบคำถามไม่ได้ เพราะไม่มีข้อมูลในการตอบคำถาม ใช้เวลาตอบคำถามนาน ทำให้บริการลูกค้าช้า ธุรกิจ ไม่รู้ว่าลูกค้าได้รับบริการครบถ้วนไหม ไม่รู้จำนวนเคสที่เข้ามา ไม่รู้จำนวนเคสที่แก้ไขแล้ว หรือ ยังไม่ได้แก้ ไม่รู้ระยะเวลาที่ใช้แก้แต่ละเคส / ไม่รู้ first reply time ไม่รู้ว่าตอนนี้ปัญหา อยู่ที่เจ้าหน้าที่คนไหน ไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่ทำงานมีคุณภาพแค่ไหน ต้องการลดต้นทุนการให้บริการ ที่มาจากช่องทางโทรศัพท์ ต้องการ Support ลูกค้าจำนวนมาก พนักงานเยอะ ต้องการ...
Continue reading