พูดถึง Digital Transformation เชื่อว่านาทีนี้หลายคนคงคุ้นเคยและรู้ความสำคัญของคำ ๆ นี้มาบ้างแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังเกิดวิกฤตโควิด-19 Digital Transformation ก็ติดสปีดกลายเป็นเทรนด์ที่ธุรกิจจะต้องนำมาปรับใช้ให้ได้ มีหลายองค์กรที่ทำสำเร็จจนเกิดกรณีศึกษามากมาย และก็มีหลายองค์กรเช่นกันที่มองว่า Digital Transformation เป็นภาระใหญ่ที่ทำให้ต้องเสียงบ ทำไม่สำเร็จสักทีทั้งไม่ได้ผลลัพธ์ดั่งที่คาดหวังนัก หากว่าคุณหรือองค์กรของคุณเป็นกรณีแบบที่สองล่ะก็ โปรดวางใจว่าคุณไม่ได้อยู่เพียงลำพัง จากการสำรวจของ Mckinsey พบว่า องค์กรอาจจะต้องเพิ่มงบประมาณประจำปีจากเดิมเป็นสองเท่าถึงห้าปีเพื่อให้ครอบคลุมในเรื่องของ IT เรียกได้ว่าเมื่อนึกถึง Digital Transformation แล้วอาจนึกปวดหัว ใจหนักอึ้งพอ ๆ กับที่ต้องรีโนเวทบ้านเลยทีเดียว Digital Transformation ที่แท้จริงคือการสร้างความเปลี่ยนแปลงในระดับองค์กร การวางแผนโมเดลธุรกิจขึ้นใหม่ Re-skill พนักงาน และทดลองทำซ้ำอย่างต่อเนื่อง “จริง ๆ นะสิ่งที่เกิดขึ้นเวลาผู้คนพูดถึงเรื่องนี้คือ ‘อ้อ ที่ลงทุนเป็นล้าน ๆ มาหลายปีน่ะเหรอ เพื่อให้ได้มุมมองของลูกค้าแบบ 360 องศา มันคุ้มค่าจริง ๆ เหรอ?’ อะไรแบบนี้” – Lisa Nicholas, CEO of Digital Banking Services กล่าว ทว่าคำตอบก็คือ “ใช่ มันคุ้มค่า” เธอกล่าว การทำ Digital Transformation จะต้องมองในแง่ถึงเป้าหมายที่องค์กรอยากจะทำให้เป็นผลสำเร็จให้ได้ และหนทางกว่าจะไปให้ถึงว่าต้องใช้อะไรเพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายนั้น ต่างเป้าหมาย ต่างอุปสรรค ต่างข้อจำกัดด้านทรัพยากร การทำ Digital Transformation จึงไม่สามารถ Copy-and-Paste รูปแบบธุรกิจจากที่อื่นโดยไม่เข้าใจถึงบริบทการใช้งานที่แท้จริง หรือแม้แต่การทุ่มเงินไปกับการซื้อเทคโนโลยี ก็ไม่ได้การันตีถึงความสำเร็จได้เช่นเดียวกัน ถึงอย่างนั้นในด้านของแนวคิดว่าควรจะเริ่มต้นทำ Digital Transformation อย่างไรนั้น เราได้สรุปมาให้คุณแล้ว มาเริ่มต้นดูกันเลย 1. ตั้งวิสัยทัศน์ขององค์กรและหัวหน้าทีม ในหลาย ๆ บทความส่วนใหญ่มักจะเริ่มขั้นตอนแรกของ Digital Transformation ให้เป็นการตั้งเป้าหมายหรือภาพรวมใหญ่ ๆ ทว่าเสาหลักที่สำคัญที่สุดของการ Digital Transformation ก็คือ...
Continue readingCustomer Service Transformation 2022: เจาะลึกความคาดหวังของลูกค้าพร้อมพลิกโฉมการบริการรูปแบบใหม่ให้เหนือคู่แข่งด้วย Zendesk
เป็นเวลากว่า 3 ปีแล้วนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ช่วงเวลาวิกฤตที่เต็มไปด้วยความผันผวนของความไม่แน่นอน ทำให้หลายองค์กรต้องเผชิญกับปัญหาด้านการจัดการในหลายด้าน การนำเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้ในการดำเนินธุรกิจ (Digital Transformation) ไม่ได้เป็นเพียงแค่ ‘ทางเลือก’ อีกต่อไป แต่เป็นสิ่งที่ ‘ต้องทำ’ รวมถึงการบริการและสร้างประสบการณ์ลูกค้า (Customer Experience) ที่กลายเป็นเทรนด์และเป็นกลยุทธ์ที่จะช่วยช่วงชิงความได้เปรียบท่ามกลางการแข่งขันที่สูงขึ้น ทว่าขึ้นชื่อว่าการปรับตัว การที่พนักงานจะต้องปรับให้เข้ากับวิถีการทำงานในรูปแบบใหม่ โดยที่ในขณะเดียวกันแบรนด์ก็ต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการนำเสนอเพื่อตอบสนองและเติมเต็มความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนไปนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นงานสัมมนาออนไลน์ในครั้งนี้ บริษัท ดีมีเตอร์ ไอซีที – Your CX Transformation Partner จึงขอเชิญชวนคุณให้รู้จักกับซอฟต์แวร์ช่วยบริการลูกค้าชั้นนำอย่าง Zendesk และพาคุณเจาะลึกถึงการทรานฟอร์มการบริการลูกค้าให้ครบทั้ง 3 มุมมองด้วยกัน มุมมองของลูกค้า สิ่งใดที่ลูกค้าต้องการ สิ่งใดที่จะเป็นมาตรฐานใหม่ที่แบรนด์ต้องมีต่อจากนี้ มุมมองของพนักงาน ทำอย่างไรถึงจะทำงานได้อย่างคล่องตัว เป็นระบบและวัดผลได้ ประสิทธิภาพการทำงานเพิ่มขึ้นโดยที่พนักงานมีความสุขกับการทำงาน และมุมมองของผู้บริหาร เหตุใดบริษัทหลายแห่งทั่วโลกถึงเลือก Zendesk เครื่องมือนี้ช่วยให้ธุรกิจดีขึ้นอย่างไร ลดต้นทุนได้จริงหรือไม่ คุ้มค่าแค่ไหนที่จะใช้งาน มาร่วมหาคำตอบไปพร้อมกันกับเราในงานสัมมนาออนไลน์ ‘Customer Service Transformation 2022: เจาะลึกความคาดหวังของลูกค้าพร้อมพลิกโฉมการบริการรูปแบบใหม่ให้เหนือคู่แข่งด้วย Zendesk’ งานสัมมนาที่จะช่วยแถลงทุกข้อสงสัยในทุกมิติของการทรานฟอร์มการบริการลูกค้าแบบครบวงจร ให้คุณเข้าใจพฤติกรรมและความคาดหวังของลูกค้าในปี 2022 นี้ เสริมศักยภาพการทำงานของเจ้าหน้าที่และวางแผนให้ธุรกิจก้าวเดินต่อไปได้อย่างมั่นคง ลงทะเบียนเพื่อสำรองที่นั่ง ลงทะเบียนฟรี สิ่งที่คุณจะได้รับจากการเข้าร่วม เข้าใจพฤติกรรมและความคาดหวังของลูกค้าในปี 2022 แนวโน้มความต้องการการบริการของลูกค้ายุคใหม่ที่จะเป็นมาตรฐานนับจากนี้ ทำความรู้จัก Zendesk อันดับ 1 Digital Customer Service ที่มีผู้ใช้งานกว่า 170,000 รายทั่วโลก แนวทางในการมีระบบจัดการและระบบการบริการลูกค้าที่ดีในองค์กร การพลิกกระบวนการธุรกิจแบบเดิมที่จำเจโดยใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม แถลงไขทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับ Zendesk และกรณีศึกษาการปรับใช้จากองค์กรชั้นนำ Agenda 14.00 – 14.05 Opening & Welcoming Speech 14:05 – 14:30 Customer Expectation in 2022 ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหัวใจหลักในการทำธุรกิจก็คือ ‘ลูกค้า’ เช่นนั้นพฤติกรรมและความคาดหวังของลูกค้าในปี 2022...
Continue readingบทสัมภาษณ์ DesignLibro ผสานข้อมูลเพื่อประสบการณ์ลูกค้าที่ราบรื่นด้วย Zendesk
“สิ่งสำคัญในการบริการลูกค้าคือ การตรงต่อเวลาและการให้ Solution แก่ลูกค้าได้อย่างครบถ้วนเพื่อให้ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า” Afei Chen Head of Customer Support at DesignLibro DesignLibro เริ่มธุรกิจเมื่อปี 2020 เป็น Startup ที่ขายของออนไลน์อยู่บน E-commerce ชื่อดังอย่าง Amazon และได้เป็น Top Seller บน Marketplace ในกลุ่มประเภทสินค้า Pet Supply, Home & Kitchen, Appliance ภายใต้แบรนด์ PetLibro และ Toppin ทางบริษัทได้เจาะกลุ่มเป้าหมายไปที่ทวีปอเมริกาเหนือ ธุรกิจกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องและเริ่มรู้สึกได้ว่าลูกค้าที่เข้ามานั้นล้นมือเกินไป ทาง DesignLibro จึงได้มองหาโซลูชันที่จะช่วยเข้ามา Support ด้าน Customer Service เพื่อรองรับจำนวนลูกค้าที่ติดต่อเข้ามาเพิ่มมากขึ้นและเป็นการยกระดับการบริการลูกค้าให้ดียิ่งขึ้นไปด้วย Afei Chen กล่าว “เนื่องด้วยปริมาณของลูกค้าที่ติดต่อเข้ามามีมากขึ้น Zendesk เป็นหนึ่งในโซลูชันที่ตอบโจทย์ในการทำงานทุกรูปแบบสำหรับเรา ทั้งในเรื่องของฟังก์ชันการใช้งานที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริการลูกค้า รวมถึงการดู Report ข้อมูลสถิติต่าง ๆ ที่สะดวกกว่าระบบอื่น ๆ มี Interface ที่เหมาะกับผู้ใช้งานและง่ายต่อการแก้ไขระบบหลังบ้าน” การผสานระหว่างร้านค้าออนไลน์และ Zendesk ด้วยความสามารถของ Zendesk ทำให้ Agent (ผู้ใช้งาน) สามารถทำงานได้บนหน้าจอเพียงหน้าเดียว โดยรวมช่องทางการสื่อสารแบบ Digital ทั้งหมดไว้ในที่เดียว ไม่ว่าจะเป็น โทรศัพท์, อีเมล, แชท, โซเชียลมีเดียต่าง ๆ รวมถึงข้อมูลที่จำเป็นต่อทีมบริการเช่น ข้อมูลลูกค้า, ประวัติการสั่งซื้อ, รายละเอียดการสั่งซื้อ ก็อยู่ในหน้าจอของ Zendesk ทั้งหมด เป็นต้น เนื่องจาก DesignLibro เป็นร้านค้าออนไลน์ที่มีช่องทางการติดต่อที่มากมายและหลายแบรนด์ บริษัทจึงเลือกเครื่องมือที่เชื่อมข้อมูลเหล่านั้นไว้ด้วยกัน โดยผสานข้อมูลจากร้านค้าบน Amazon ผ่านระบบ ERP (Enterprise Resource Planning)...
Continue readingWork Insights คืออะไร?
Work Insights คือ? Work Insights คือตัวจัดการจาก Google Workspace ที่จะช่วยรายงานข้อมูลการทำงานแบบเชิงลึกภายในองค์กร ช่วยให้คุณสามารถวิเคราะห์และวางแผนการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น หากคุณเป็นหนึ่งคนที่ต้องการพัฒนากระบวนการการทำงานให้องค์กรทำงานได้อย่างชาญฉลาด Work insights นับได้ว่าเป็นเครื่องมือที่คุณไม่ควรพลาด ไปทำความรู้จักเจ้าเครื่องมือนี้กันเลย! Work Insights ทำอะไรได้บ้าง? Work Insights จะทำการเก็บข้อมูลว่าพนักงานมีการใช้งานแอปพลิเคชันของ Google Workspace มากน้อยแค่ไหนโดยจะสรุปออกมาเป็นเปอร์เซ็นต์เพื่อให้คุณได้เห็นภาพและเข้าใจง่ายมากขึ้น เช่น เมื่อสัปดาห์ที่แล้วทีมของคุณมีการใช้งาน Gmail ที่ 98% Google Docs ที่ 75% และ Google Meet ที่ 45% เป็นต้น คุณสามารถดูได้ว่าในแอปพลิเคชันต่าง ๆ เช่น Google Docs, Sheets, Slides มีการทำงานร่วมกันอย่างไรบ้าง เช่น เปอร์เซ็นของการแก้ไข คอมเม้น หรือ แค่เปิดเข้าดูไฟล์ ซึ่งฟังก์ชันนี้จะช่วยให้บุคคลที่เป็นหัวหน้าสามารถเช็คการทำงานของทีมได้ง่ายและสะดวกมากขึ้นเนื่องจากหลายบริษัทยังมีการ Work From Home กันอย่างต่อเนื่อง คุณสามารถดูได้ว่าการใช้งาน Google Workspace ลดการใช้งานแอปอื่นได้มากแค่ไหน การใช้ Google Workspace นั้นจะทำให้การทำงานง่ายขึ้นอย่างมาก ไม่ต้องสลับแอปให้ยุ่งยาก ฟังก์ชันครบ ซึ่งจะช่วยลดขั้นตอนการทำงานจากหลายแอปและช่วยประหยัดเวลาในการทำงานอีกด้วย Work Insights มีประโยชน์ต่อองค์กรอย่างไร? การใช้งาน Work Insights จะทำให้ทีมเห็นภาพมากขึ้นว่าทีมของตนมีการทำงานเป็นอย่างไร ใช้เวลามากน้อยแค่ไหนในแต่ละแอปพลิเคชัน โดยทีมสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาประเมินหรือวิเคราะห์การทำงานเพื่อปรับปรุงหรือวางแผนการทำงานให้ดีขึ้นได้ ซึ่งนับว่าเป็นหนึ่งในแอปพลิเคชันที่ไม่ควรมองข้ามเลยทีเดียว หากทีมมีการจัดการเป็นอย่างดีจะให้ทำองค์กรมีการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นส่งผลให้ภาพลักษณ์และผลประกอบการดีขึ้นตามลำดับ ดังนั้นการพัฒนาหรือปรับปรุงระบบการทำงานภายในองค์กรจึงเป็นสิ่งที่องค์กรควรคำนึงถึงเป็นอันดับต้น ๆ Work Insights เหมาะกับใครบ้าง? ผู้ดูแลระบบไอที (IT administrators) ผู้บริหารจัดการการเปลี่ยนแปลง (Change management staff) เจ้าหน้าที่ทรัพยากรบุคคล (Human resources staff) เจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการบุคคล (People operations staff)...
Continue readingฟีเจอร์จาก Zendesk! ปรับขนาดหน้าจอสนทนา ช่วยให้การบริการลูกค้าได้อย่างอิสระ
“หน้าจอการทำงานที่อึดอัด ทำให้การบริการลูกค้าของเรามีประสิทธิภาพที่ลดลง” ดังนั้น Zendesk จึงได้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ในส่วนของ Agent Workspace เอาใจทีมบริการลูกค้า ด้วยการปรับขนาดหน้าจอการสนทนาระหว่าง Agent กับลูกค้าได้อย่างอิสระ ช่วยให้ Agent สามารถเห็นบทความบน Help Center หรือมุมมองหน้าจอในการบริการลูกค้าสบายมากยิ่งขึ้น ขั้นตอนการปรับขนาดหน้าจอมีอะไรบ้าง? คลิกเข้าไปที่ใน Ticket ที่เราต้องการ เพื่อเปิดหน้าจอการสนทนากับลูกค้า นำเมาส์ไปชี้ที่เส้นขอบระหว่างช่องการสนทนาและช่องรายละเอียดของลูกค้าด้านขวามือ จนมีไอคอนลูกศรซ้ายขวาปรากฏขึ้นและเส้นขอบจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน คลิกและลากเส้นไปด้านขวาหรือด้านซ้ายเพื่อขยายหรือย่อขนาดของหน้าจอได้อย่างอิสระ การปรับเปลี่ยนขนาดหน้าจอจะยังคงอยู่ ไม่ว่าคุณจะย้ายไปยังหน้าต่างอื่น ๆ หรือว่าจะปิดและเปิด Ticket นี้ขึ้นมาใหม่ ขนาดหน้าจอที่ปรับไว้จะเหมือนเดิมจนกว่าคุณจะรีเฟรชใหม่ทั้งหมด Zendesk คำนึงถึง Pain point ของผู้ใช้งาน (Agent) และลูกค้าอยู่เสมอจึงได้ออกแบบฟีเจอร์มาเพื่อช่วยเหลือให้การบริการลูกค้านั้นมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่แค่ไหน เพราะทุก ๆ อย่างจะช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าของคุณ แหล่งที่มา: support.zendesk.com ทดลองใช้ Zendesk trial ฟรี สอบถาม ราคา Zendesk ติดต่อ บริษัท ดีมีเตอร์ ไอซีที จำกัด ผู้ให้บริการระบบ Zendesk ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ – Zendesk Thailand Partner ซอฟต์แวร์เพื่อการซัพพอร์ตลูกค้าแบบ Omnichannel สำหรับทุกธุรกิจ บริษัท ดีมีเตอร์ ไอซีที จำกัด – Your CX Transformation Partner ผู้ให้บริการ Zendesk ระดับ Premier Partner ในประเทศไทยและเอเชียแปซิฟิกอย่างเป็นทางการ 02 030 0066 แพ็กเกจและราคา...
อุปสรรคด้านภาษาจะหมดไปด้วยฟีเจอร์ใหม่จาก Google Meet ‘Translated caption’
อุปสรรคด้านภาษาจะหมดไปด้วยฟีเจอร์ใหม่จาก Google Meet ‘Translated caption’ ในปี 2021 ทาง Google Meet ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ ‘Translated captions’ ในเวอร์ชันเบต้า ซึ่งทำให้สามารถแปลภาษาขณะที่พูดอยู่เป็นคำบรรยายในภาษาที่เรากำหนดได้ ปัจจุบันทาง Google Meet เปิดให้ใช้ฟีเจอร์นี้ได้แล้วใน Google Workspace บางรุ่น ‘Translated captions’ ช่วยให้ทำงานร่วมกันได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ช่วยให้การแบ่งปันข้อมูล การเรียนรู้ และการทำงานร่วมกันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด นอกจากนี้คำบรรยายที่แปลแล้วยังสามารถส่งผลกระทบต่อการตั้งค่าการศึกษา ทำให้ผู้คนสามารถเชื่อมต่อและโต้ตอบกันได้ทั้งนักเรียน ผู้ปกครอง และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องทั้งหมด แม้จะคุยกันคนละภาษาก็ตาม ภาษาที่รองรับ ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน ภาษาโปรตุเกส ภาษาสเปน วิธีเปิดใช้งานฟีเจอร์ เปิด Google Meet ในคอมพิวเตอร์ ในการประชุม ให้คลิกตัวเลือกเพิ่มเติม การตั้งค่า คำบรรยายวิดีโอ เปิด “คําบรรยายวิดีโอ” และตั้งค่าเป็นภาษาอังกฤษ เปิด “คําบรรยายฉบับแปล” เลือกภาษา หมายเหตุ : ในตอนนี้การแปลคำบรรยายวิดีโอสามารถให้บริการในวิดีโอคอลที่พูดภาษาอังกฤษเท่านั้น หากต้องการใช้คําบรรยายฉบับแปล คุณควรตั้งค่า “คําบรรยายวิดีโอ” เป็นภาษาอังกฤษ และ “คําบรรยายฉบับแปล” เป็นภาษาที่ต้องการแปล แพ็กเกจที่พร้อมใช้งาน Google Workspace Business Plus, Enterprise Standard, Enterprise Plus, และ Google Workspace for Education Plus อัปเกรดแพ็กเกจหรือสมัครแพ็กเกจเพื่อรับบริการจาก Google Workspace กับ ดีมีเตอร์ ไอซีที พันธมิตรระดับ Google Premier Partner ตัวแทนจำหน่าย Google Workspace ในประเทศไทยและเอเชียแปซิฟิกอย่างเป็นทางการ เรามีแพ็กเกจพร้อมบริการเสริมแบบครบวงจรที่สามารถตอบโจทย์ได้ทุกธุรกิจแบบครบจบในที่เดียว เปลี่ยนการทำงานร่วมกันที่แสนยุ่งยากให้ง่ายขึ้นด้วย Google Workspace พื้นที่การทำงานร่วมกันแบบ...
Continue readingไขข้อข้องใจ Google Workspace VS Gmail ฟรี แตกต่างกันอย่างไร?
1. Google Workspace แบบฟรี ไม่มี Official Email ของบริษัท หากบริษัทของคุณไม่มีโดเมนเนมเป็นของตัวเองนั้นอาจจะทำให้องค์กรดูไม่มีความน่าเชื่อถือ เนื่องจากลูกค้าหรือผู้ติดต่อจะไม่สามารถรับรู้ได้ว่า Email ที่ตนกำลังประสานงานด้วยอยู่นั้นเป็นของบริษัทจริง ๆ หรือไม่ ดังนั้นการใช้แพ็กเกจจาก Google Workspace จะทำให้บริษัทมีโดเมนเป็นของตัวเองซึ่งทำให้บริษัทดูมีตัวตนและได้รับความน่าเชื่อถือจากลูกค้าและทำให้ภาพลักษณ์ของบริษัทดูดีและมีความ Professional มากขึ้นอีกด้วย 2. Gmail ฟรี ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าบุคคลนั้นคือพนักงานของบริษัทหรือไม่ การที่พนักงานใช้ Gmail ส่วนตัวหรือ Gmail ฟรีเข้ามาทำงานนั้นแสดงว่าพนักงานทุกคนสามารถตั้งชื่อ Gmail อะไรก็ได้ ทำให้บริษัทหรือบุคคลอื่นไม่สามารถรู้ได้ว่า Gmail นั้นเป็นของพนักงานคนใด ฝ่ายไหน หรือหากต้องการจะติดต่อกับใครก็จะหาค่อนข้างยากเนื่องจากทุกคนต่างใช้ชื่อที่ตนต้องการ ว่าง่าย ๆ ก็คือ การที่องค์กรซื้อบริการจาก Google Workspace จะช่วยจัดการ Gmail ของพนักงานอย่างเป็นระบบทำให้บริหารพนักงานง่ายขึ้นและทำงานสะดวกมากยิ่งขึ้น 3. Gmail ฟรี ระหว่างทำงานร่วมกัน ไม่สามารถรู้ได้ว่ามีใครที่กำลังใช้งานอยู่บ้าง สืบเนื่องมาจากข้อด้านบนที่พนักงานต้องใช้ Gmail ส่วนตัวเข้ามาทำงาน ไม่มีการกำหนดชื่อหรือควบคุมรายชื่อพนักงานแบบเป็นแบบแผน จึงทำให้เวลาทำงานร่วมกันแบบ Real time คุณไม่สามารถรู้ได้ว่ามีใครเข้ามาทำงานบ้าง คนที่คุณกำลังทำงานร่วมกันอยู่ด้วยนั้นเป็นใคร จะเห็นได้แค่นามสมมุติที่ถูกสร้างโดย Google แบบอัตโนมัติเท่านั้น แต่ถ้าหากคุณใช้แพ็กเกจสำหรับองค์กร คุณสามารถเห็นการเคลื่อนไหวของคนในทีมที่กำลังทำงานร่วมกันอยู่ได้ ซึ่งจะสามารถระบุตัวตนได้เลยว่าบัญชีที่กำลังเข้าใช้งานอยู่นั้นเป็นของพนักงานคนใดในบริษัท ไม่ต้องห่วงว่าจะมีบุคคลที่ไม่พึงประสงค์เข้ามาร่วมงาน คุณสามารถเห็นและระบุตัวตนได้ทันที รวมถึงคุณยังสามารถดู Version history ได้ด้วย จึงไม่ต้องกังวลว่าใครแก้ตรงไหน เพิ่มตรงไหน ลบตรงไหนออกไป สามารถตรวจสอบและกู้คืนย้อนหลังได้ 4. Gmail ฟรี หากพนักงานลาออกบริษัทไม่สามารถดึงข้อมูลกลับมาใช้ได้ เมื่อพนักงานใช้ Gmail ส่วนตัวทำงานข้อมูลก็จะถูกเก็บไว้ในบัญชีนั้น ๆ ทำให้เมื่อพนักงานคนดังกล่าวลาออกไปบริษัทไม่สามารถนำข้อมูลที่อยู่ในบัญชีอีเมลนั้นมาใช้ได้เนื่องจากเป็นบัญชีส่วนตัว มิหนำซ้ำยังเสี่ยงต่อการถูกล้วงข้อมูลอีกด้วย แต่สำหรับ Google Workspace คุณจะมีแอดมินคอยควบคุมอยู่ ไม่ว่าพนักงานคนไหนลาออก ข้อมูลก็จะถูกดึงมายังส่วนกลางทันที ปลอดภัย ไม่ต้องกลัวข้อมูลหายอีกต่อไป 5. Google Workspace แบบฟรี ข้อมูลไม่มีความปลอดภัย จากข้อมูลที่ได้กล่าวไปแล้วด้านบน คุณคงจะเห็นแล้วว่าบริษัทไม่สามารถควบคุม Gmail แบบฟรีได้...
Continue readingDemeter ICT ได้รับแต่งตั้งให้เป็น Premier Partner และ High Growth Partner of The Year จาก Zendesk
เมื่อวันที่ 10 มกราคม ปี 2022 ที่ผ่านมา บริษัท ดีมีเตอร์ ไอซีที จำกัด ได้รับแต่งตั้งให้เป็น Premier Implementation Partner หรือพาร์ทเนอร์ผู้เชี่ยวชาญในการวางระบบระดับสูงสุดจาก Zendesk ตอกย้ำความสำเร็จจากปีที่แล้วที่ได้รับการเลื่อนขั้นเป็นระดับ Premier ในด้านผู้ให้บริการเช่นเดียวกัน นับเป็นพาร์ทเนอร์ 1 ใน 3 ของเอเชียร่วมกับประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ที่ได้รับการรองรับนี้ และเป็นอันดับ 1 ในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก นอกจากนี้ในงาน SKO 2022 ดีมีเตอร์ ไอซีที ยังได้รับการยกย่องว่าเป็นพาร์ทเนอร์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่มีการเติบโตสูงแห่งปี (High Growth Partner Of The Year) เมื่อย้อนนึกตั้งแต่ปลายปี 2017 ที่ดีมีเตอร์ ไอซีที เป็นพาร์ทเนอร์กับ Zendesk เวลาก็ล่วงเลยมา 5 ปีกว่าแล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมาดีมีเตอร์ ไอซีทีได้พัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สามารถช่วยเหลือลูกค้า สะสมประสบการณ์ในการออกแบบระบบให้กับธุรกิจหลายขนาดและแนะนำการบริการได้อย่างเชี่ยวชาญ เรามุ่งหวังว่าจะสามารถส่งมอบเครื่องมือที่ช่วยให้ธุรกิจของคุณสามารถเติบโต เข้าถึงลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพและพัฒนาแบรนด์ให้ดียิ่งขึ้นดังสโลแกนที่ว่า “Your Business Transformation Partner” และจากผลตอบรับที่ได้รับจากทุก ๆ ท่านก็ทำให้เราเป็นพาร์ทเนอร์ที่ได้รับการยอมรับนี้ ดีมีเตอร์ ไอซีที ขอขอบคุณสำหรับทุกความเชื่อมั่นและไว้วางใจที่ได้ให้โอกาสเราได้เป็นส่วนหนึ่งในความสำเร็จของคุณ เราขอสัญญาว่าเราจะพัฒนาการบริการให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม ไม่ว่าคุณจะมีปัญหาหรือมีข้อสงสัยใดก็ตาม เราพร้อมจะช่วยเหลือคุณอย่างสุดความสามารถ เป็น CX Transformation Partner ที่ทำให้มั่นใจว่าคุณจะสามารถสร้างประสบการณ์ลูกค้าแบบ Omnichannel ที่ดีพร้อมและสมบูรณ์แบบมากที่สุด ขอขอบคุณอีกครั้ง ด้วยรักและหวังเป็นอย่างยิ่งว่าในปี 2022 นี้ เราจะเติบโตก้าวหน้าไปด้วยกัน มองหา Zendesk นึกถึง Demeter ICT เราให้บริการทั้งในประเทศไทยและเอเชียแปซิฟิก อันดับ 1 พาร์ทเนอร์สร้าง CX ที่ยอดเยี่ยมให้กับธุรกิจของคุณ ทดลองใช้ Zendesk trial ฟรี สอบถาม ราคา Zendesk ติดต่อ บริษัท ดีมีเตอร์ ไอซีที จำกัด ผู้ให้บริการระบบ...
Continue readingHybrid Working กับ Google Workspace สร้าง Work Life Balance ต้อนรับปี 2022!
Hybrid Working กับ Google Workspace สร้าง Work Life Balance ปัจจุบันวิธีการทํางานมีการเปลี่ยนแปลงไป เพื่อปรับให้เข้ากับสถานการณ์ที่มีโรคแพร่ระบาดอย่าง Covid-19 เราไม่ได้ทํางานแค่ในสํานักงานหรือจากบ้าน (Work From Home) อีกต่อไปแล้ว ทุกทีมต่างก็ต้องติดต่อสื่อสาร สร้างสรรค์ และทํางานร่วมกันภายใต้สภาพแวดล้อมการทํางานแบบผสมผสาน (Hybrid Working) ที่ทุกคนจะสามารถทำงานร่วมกันไม่ว่าเวลาใด อยู่ที่ใด หรือแม้แต่จะใช้อุปกรณ์ประเภทใดก็ตาม Google Workspace พื้นที่การทำงานที่สามารถตอบโจทย์การทำงานแบบผสมผสานได้ดีที่สุด มาดูกันเลยว่า Google Workspace ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างไร 1. ติดต่อสื่อสารกันได้ทุกเมื่อแม้จะไม่ได้อยู่สถานที่เดียวกันด้วย Meet หากต้องทำงานกับผู้คนที่ไม่ได้อยู่ในสำนักงาน เมือง หรือภูมิภาคเดียวกัน การประชุมทางวิดีโอของ Google Meet ช่วยลดระยะห่างให้กับคุณได้ ฟีเจอร์แนะนำเพื่อการประชุมวิดีโอคอลแบบเห็นหน้ากันอย่างมีประสิทธิภาพ ฟีเจอร์ปิดเสียงหรือวิดีโอของผู้เข้าร่วม – ใช้ฟีเจอร์ปิดเสียงหรือวิดีโอของผู้เข้าร่วม เพื่อป้องกันเสียงไม่พึงประสงค์ ฟีเจอร์เปิดใช้คําบรรยายวิดีโอ – ผู้เข้าร่วมที่ไม่ได้ยินเสียงในการประชุมสามารถเปิดใช้คําบรรยายวิดีโอได้ โดยฟีเจอร์นี้จะแปลงเสียงพูดในการประชุมเป็ ข้อความที่ด้านล่างของหน้าจอ ปัจจุบันฟีเจอร์นี้มีให้เลือกใช้ได้ 5 ภาษา ได้แก่ โปรตุเกส ฝรั่งเศส เยอรมัน สเปน และอังกฤษ ฟีเจอร์เพิ่มสถานที่เมื่อตอบกลับคําเชิญเข้าร่วมประชุม – แจ้งให้ผู้เข้าร่วมทราบว่าคุณจะเข้าร่วมการประชุมจากสํานักงานหรือเข้าร่วมแบบออนไลน์ การทราบว่าผู้คนเข้าร่วมการประชุมจากที่ใดจะช่วยให้ผู้นำเสนอสามารถนําการประชุมได้ครอบคลุมผู้เข้าร่วมทั้งหมด ฟีเจอร์เปิดใช้โหมดแยกหน้าจอประชุม (Companion mode) – เมื่อเข้าร่วมโดยใช้ระบบเสียงและวิดีโอในห้องประชุม เช่น Nest Hub Max ให้ใช้โหมดแยกหน้าจอประชุม ซึ่งจะช่วยให้คุณเข้าร่วมการประชุมผ่านอุปกรณ์ส่วนตัวได้อย่างราบรื่น นอกเหนือจากการใช้ระบบของห้องประชุมเพียงอย่างเดียว โดยคุณสามารถดูงานนำเสนอได้ชัดขึ้น ส่งข้อความแชทถึงผู้เข้าร่วม โหวตในแบบสำรวจ หรือโพสต์คำถามในช่วงถามและตอบได้เหมือนตอนที่เข้าร่วมจากนอกสำนักงาน ฟีเจอร์เพื่อการแชร์แนวคิดและความคิดเห็นในการประชุมทางวิดีโอแบบเรียลไทม์ สร้าง Jam ใน Google Jamboard เพื่อทํางานร่วมกันเป็นกลุ่ม – Jamboard เป็นไวท์บอร์ดเสมือนจริงที่ช่วยให้คุณระดมความคิดร่วมกับผู้อื่นได้แบบเรียลไทม์ ใช้ฟีเจอร์ยกมือ (Hand rising) – กระตุ้นให้ผู้เข้าร่วมใช้ฟีเจอร์ยกมือเพื่อให้การประชุมเป็นไปตามกำหนดการ โดยเฉพาะในกรณีที่เข้าร่วมจากนอกสถานที่ การยกมือจะช่วยส่งสัญญาณให้ผู้อื่นทราบว่าคุณต้องการพูด นอกจากนี้ยังช่วยให้คุณไม่ถูกขัดจังหวะการนำเสนออีกด้วย ...
Continue reading